"คำนูณ" ระบุ จะชี้ผิดนักการเมือง ร่วมม็อบปฏิรูปสถาบันไม่ได้ ต้องแยกกรณี

"คำนูณ" ระบุ จะชี้ผิดนักการเมือง ร่วมม็อบปฏิรูปสถาบันไม่ได้ ต้องแยกกรณี

"คำนูณ" มอง คำวินิจฉัยศาลรธน. กรณีคณะราษฎร เสนอปฏิรูปสถาบัน หากจะชี้ผิด นักการเมือง เข้าร่วมชุมนุม ต้องพิจารณาพยาน-หลักฐาน แยกเป็นรายกรณี

          นายคำนูณ สิทธิสมาน ส.ว. กล่าวถึงคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่สั่งให้ข้อเสนอการปฏิรูปสถาบันของแกนนำคณะราษฎร เข้าข่ายการกระทำที่ล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และสั่งให้เลิกการกระทำรวมถึงการกระทำของเครือข่าย ว่า คำวินิจฉัยดังกล่าวถือว่าเป็นที่สุด และมีผลผูกพันกับทุกองค์กร ให้ปฏิบัติตาม  ส่วนคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญที่ให้ยุติการกระทำ ไม่ใช่เฉพาะผู้ถูกร้องทั้ง 3คน เท่านั้น ยังรวมถึงองค์กรเครือข่ายด้วย และไม่ใช่ให้ยุติการกระทำเมื่อวันที่ 10 สิงหาคม 2563 เท่านั้น แต่รวมถึงเหตุการณ์ต่อเนื่องและสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคต

 

 

          เมื่อถามว่าคำวินิจฉัยของศาลมีผู้มองว่าขัดขวางเสรีภาพประชาชน นายคำนูณ กล่าวว่า การใช้สิทธิเสรีภาพตามมาตรา 49ของรัฐธรรมนูญ ต้องไม่เป็นสิทธิเสรีภาพที่มีผลล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และใครที่พบเห็นสามารถยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาตามกระบวนการ และศาลมีอำนาจให้ยุติการกระทำได้

 

          "เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าการกระทำตามที่ร้องมานั้น เป็นสิทธิเสรีภาพล้มล้างการปกครอง จึงถือว่าเข้าข่ายมาตรา 49  หากจะใช้สิทธิเสรีภาพเรื่องอื่นสามารถใช้ได้  แต่การใช่เสรีภาพที่ล้มล้างการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” นายคำนูณ กล่าว 

 

          เมื่อถามว่ากรณีที่มีการเสนอเสนอแก้กฎหมาย มาตรา112 จะถือว่าเข้าข่ายคำวินิจฉัยหรือไม่ นายคำนูณ กล่าวว่า ส่วนตัวมองว่าต้องดูการกระทำเป็นเฉพาะกรณีไป ไม่อาจแปลความเกินได้ และไม่ควรตีความเกินคำวินิจฉัยต้องอยู่ในกรอบการปฏิรูปสถาบัน 10 ข้อที่คณะราษฎรประกาศไว้  และการกระทำที่เกี่ยวเนื่อง การกระทำที่เกี่ยวเนื่องเป็นกรณีๆไป ทั้งนี้ตนยังไม่เห็นคำวินิจฉัยฉบับเต็มจึงขอไม่แสดงความเห็น


          เมื่อถามว่ากรณีที่มีนักการเมืองเข้าร่วมการชุมนุมดังกล่าวมีสิทธิถูกฟ้องร้องดำเนินคดีได้หรือไม่ นายคำนูณ กล่าวาว่า ส่วนตัวมองว่าแล้วแต่พยานหลักฐานอีกครั้งและต้องดูเป็นรายกรณี.