นัดฟังคำพิพากษา 7 เม.ย. 65 "ศาลฎีกา" สั่ง "ปารีณา" หลุด กมธ.งบฯ คดีรุกป่า

นัดฟังคำพิพากษา 7 เม.ย. 65 "ศาลฎีกา" สั่ง "ปารีณา" หลุด กมธ.งบฯ คดีรุกป่า

บรรทัดฐานใหม่! “ศาลฎีกา” สั่ง “ปารีณา” พ้นตำแหน่ง กมธ.งบฯปี 65 หลังถูกสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ปมถูก ป.ป.ช. ร้องผิดจริยธรรมร้ายแรงเรื่องฟาร์มเลี้ยงไก่รุกป่า เจ้าตัวยกเหตุ “ทวี” ความจำเสื่อม มอบฟาร์มไก่ให้สู้ต่อ นัดฟังคำพิพากษา 7 เม.ย. 65

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 9 พ.ย. 2564 ที่ศาลฎีกา สนามหลวง ถนนราชดำเนินใน ศาลนัดพิจารณาครั้งแรก ในคดีหมายเลขดำ คมจ. 1/2564 เพื่อสอบคำให้การคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้วินิจฉัยกรณีกล่าวหา น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมอย่างร้ายแรง เนื่องจากถูกดำเนินคดีบุกรุกพื้นที่ป่าสงวนเพื่อใช้ประกอบกิจการฟาร์มเลี้ยงไก่ และทำเกษตรกรใน จ.ราชบุรี อันเป็นการขัดกันระหว่างผลประโยชน์ส่วนตัวและส่วนรวม

โดย น.ส.ปารีณา เดินทางมาพร้อมด้วยทนายความ และผู้ติดตาม และให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าห้องพิจารณาว่า ตอนนี้รู้สึกสบายใจขึ้นเยอะมาก ขอยืนยันในความบริสุทธิ์ของตัวเอง เพราะเพิ่งเข้ามาดูแลฟาร์มเลี้ยงไก่ตามที่บิดา (นายทวี ไกรคุปต์ อดีตนักการเมืองชื่อดัง) อนุญาต และหลังจากยุติบทบาท ส.ส.ตามคำสั่งศาล ชีวิตเปลี่ยนแปลงไปมาก

ส่วนนายทิวา การกระสัง ทนายความผู้รับมอบอำนาจจาก น.ส.ปารีณา กล่าวว่า แนวทางการต่อสู้คดีทางเรายืนยันว่า น.ส.ปารีณาไม่ได้กระทำผิดจริยธรรมแต่อย่างใด ไม่ได้บุกรุกป่าสงวน เนื่องจากนายทวี ไกรคุปต์ บิดาของ น.ส.ปารีณา อายุมากแล้ว ความจำเสื่อม ได้มอบกิจการให้ น.ส.ปารีณา ดูแลแทน เพื่อนำรายได้มาเลี้ยงดูอุปการะบิดา ซึ่งเป็นไปตามหลักความศีลธรรม จริยธรรม ความกตัญญูรู้คุณ ของสังคมไทย ขอยืนยันว่า น.ส.ปารีณา ครอบครองที่ดินโดยสุจริต จะต่อสู้ไปตามข้อเท็จจริงที่ปรากฏ ซึ่งขึ้นอยู่กับศาลท่านพิจารณาอย่างไร

นายทิวา การกระสัง ทนายความ กล่าวด้วยว่า ประวัติที่ดินแปลงนี้มีมานานแล้วช่วงก่อน ปี พ.ศ.2484 ก่อนมีการปฏิรูปที่ดิน หรือประกาศ พ.ร.บ.ป่าไม้ฯ อีก แต่ตอนนั้นยังไม่มีเจ้าหน้าที่เข้ามาจัดสรรโดย บิดาของ น.ส.ปารีณา ซื้อต่อมาจากชาวบ้านที่เข้าทำประโยชน์ปลูกพืชมันสำปะหลัง โดยพยานได้เตรียมพยานทั้งหมดไว้ประมาณ 10 ปากเป็นเจ้าของที่ดินเดิม เจ้าหน้าที่ปฏิรูปที่ดิน และเจ้าหน้าที่ป่าไม้ ซึ่งใช้อัตราส่วนวัด 4 แสน : 1 ซึ่งไม่ถูกต้องนัก ทางเราจึงยื่นคำร้องขอให้จัดทำแผนที่ใหม่โดยใช้อัตราส่วนที่ 5 หมื่น : 1 หรืออัตราส่วน 1หมื่น : 1 ตามที่กฤษฎีกาประกาศไว้

ต่อมา ศาลฎีกา ออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคดีครั้งแรก และตรวจพยานหลักฐานคดีดังกล่าว โดยศาลกำหนดการไต่สวนและชี้ช่องพยานหลักฐาน ของฝั่ง ป.ป.ช.ทั้งสิ้น 12 ปาก ในวันที่ 8 ,22 ,28 ก.พ. 2565 ขณะที่พยานของ น.ส.ปารีณา นัดสอบทั้งสิ้น 10 ปากในวันที่ 1-3 มี.ค. 2565 และ 8-10 มี.ค. 2565 โดยวันนัดพยาน ให้พยานมาศาลตามนัดทุกนัด มิเช่นนั้น จะถือว่า ไม่ติดใจในการให้ถ้อยคำ พร้อมนัดฟังคำพิพากษาในวันที่ 7 เม.ย. 2565 เวลา 10.30 น.

โดยผู้แทนฝั่ง ป.ป.ช. ได้ยื่นคัดค้านการดำรงตำแหน่งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 (กมธ.งบฯปี 65) ของ น.ส.ปารีณา เนื่องจากเห็นว่า ศาลได้สั่งให้ยุติการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส.แล้ว โดยองค์คณะผู้พิพากษาเสียงข้างมาก ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า การดำเนินการพิจารณาร่างงบประมาณรายจ่ายประจำปี เป็นหน้าที่ของสภาฯ การทำหน้าที่กรรมาธิการวิสามัญ จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ของ ส.ส. ดังนั้น เมื่อ น.ส.ปารีณา ได้รับคำสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ จึงไม่อาจปฏิบัติหน้าที่เป็นกรรมาธิการได้ 

ส่วนกรณีที่ น.ส.ปารีณาขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่ากระบวนการยื่นคำร้องของ ป.ป.ช.ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เนื่องจากไม่ผ่านมติของคณะกรรมการ ป.ป.ช.นั้น ศาลเห็นว่า มิใช่บทบัญญัติที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ จึงไม่ต้องส่งศาลวินิจฉัย จึงมีคำพิพากษายกคำร้อง

ภายหลังการพิจารณา นายทิวา การกระสัง ทนายความของ น.ส.ปารีณา กล่าวว่า กรณีที่ศาลระบุว่า น.ส.ปารีณา ไม่อาจปฏิบัติหน้าที่กรรมาธิการได้นั้น ถือเป็นบรรทัดฐานใหม่ เนื่องจากที่ผ่านมาไม่เคยมีศาลชี้ขาดว่า ผู้ที่อยู่ระหว่างสั่งให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ ไปเป็นกรรมาธิการไม่ได้ แต่กระบวนการแต่งตั้ง น.ส.ปารีณา เป็นกระบวนการโดยชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีการเสนอชื่อผ่านสภาฯและได้รับความเห็นชอบ โดย น.ส.ปารีณา ไม่ได้เข้าไปเป็นเอง ดังนั้น จึงไม่ส่งผลทำให้งบประมาณรายจ่ายปี 2565 ต้องเป็นโมฆะและไม่ผูกพันใดๆ เป็นเพียงแค่การสร้างบรรทัดฐานใหม่เท่านั้น แต่หากมีข้อสงสัยในประเด็นนี้ ควรจะมีการยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญชี้ขาดเพื่อความชัดเจน เพราะคำวินิจฉัยของศาลฎีกาไม่ได้ผูกพันทุกองค์กร รวมถึงรัฐสภา