โจทย์ใหญ่ท้าทาย 'ธรรมนัส' สยบศึกพรรค-คุมทัพเลือกตั้ง
ดูเหมือนว่าหมดฤดูกาล เรื่องราว“เสร็จนาฆ่าโคถึก” กำลังหวนกลับมาอีกครั้ง และปฏิบัติการภาค 2 กำลังจะเกิดขึ้นในการประชุมใหญ่ “พรรคพลังประชารัฐ” ในวันที่ 18 เม.ย.นี้ หากกำหนดการไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือเลื่อนจากสถานการณ์โควิด
นับตั้งแต่ “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรรณ” รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค เปิดตัวก้าวขึ้นมาคุมบังเหียนพรรค ได้เขย่าโครงสร้างพรรคครั้งใหญ่มาแล้วรอบหนึ่ง ด้วยการถอด “กลุ่ม4 กุมาร” จากทุกตำแหน่งในพรรค
จน “อุตตม สาวนายน” พ้นจากเก้าอี้หัวหน้า “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” ต้องพ้นตำแหน่งเลขาธิการพ้นจากพรรค และหลุดจากเก้าอี้รัฐมนตรีไปในที่สุด
การประชุมใหญ่พรรคพลังประชารัฐที่กำลังจะมาถึง มีการจับตาอย่างมากว่า “อนุชา นาคาศัย” รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และเลขาฯ พรรคคนปัจจุบัน จะเป็นรายต่อไปที่ถูกถอดหัวโขนหรือไม่
โดยล่าสุด มีชื่อ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รมช.เกษตรและสหกรณ์ เป็นตัวเต็งที่จะขึ้นมานั่งตำแหน่งเลขาฯ พรรคคนใหม่แทน
ของแบบนี้จะอาศัยความอยากเพียงอย่างเดียวคงไม่ได้ ต้องอาศัยความพร้อมที่จะทุ่มทุกสรรพกำลังเพื่อนำพรรคสู่เป้าหมาย ที่สำคัญต้องได้แรงสนับสนุนจากเจ้าของพรรคด้วย ทุกอย่างถึงจะฉลุย
ชื่อ “ธรรมนัส” จึงตอบทุกโจทย์ มีความพร้อมทั้งกระสุนดินดำ อุดมสมบูรณ์ด้วยกล้วยเหลือคณานับ และถูก “พล.อ.ประวิตร” วางตัวให้เป็นแม่ทัพของ “พลังประชารัฐ” ดูแลการเลือกตั้งครั้งหน้า
ประเดิมสนามแรกคือ ศึกชิง “ผู้ว่าฯกทม.” ที่ “ธรรมนัส” ได้โจทย์จาก “พล.อ.ประวิตร” ต้องช่วย“พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา” ยึดเก้าอี้ตัวนี้มาครองให้จงได้
เส้นทางต่อไปของกลุ่ม “ธรรมนัส” จึงเตรียมผงาดยิ่งใหญ่คับพรรค นอกจากไร้คู่ต่อกรแล้ว ยังกวาดต้อน ส.ส.ส่วนใหญ่มาซุกใต้ปีกเรียบร้อยแล้ว
นอกจากนั้น “ธรรมนัส” ยังได้กลุ่ม “วิรัช รัตนเศรษฐ” ประธานวิปรัฐบาล ไปเป็นพวก ทั้งที่ก่อนหน้านี้เพียงไม่นาน 2 คนนี้ ต่างฟาดฟัน ชิงดีชิงเด่นกันมาอย่างดุเดือด กระทั่งวันนี้ทั้งคู่จูบปากจับมือกัน ราวกับที่ผ่านมาไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
น่าสนใจว่า การขึ้นเป็น “เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ” ของ “ธรรมนัส” เรื่องใหญ่ที่ท้าทายคือจะแก้ปัญหาความขัดแย้งกันในพรรคได้หรือไม่ เพราะขนาด “พล.อ.ประวิตร” เข้ามาคุมเอง ยังจัดการได้ไม่สงบ 100%
ที่สำคัญ หาก “อนุชา” ถูกถอดจากตำแหน่งเลขาฯพรรคจริง จะส่งผลต่ออนาคตการเมืองของ"กลุ่ม 4 ว” หรือ 4 รัฐมนตรีว่าการ ที่นำโดย “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” รมว.อุตสาหกรรม “สมศักดิ์เทพสุทิน” รมว.ยุติธรรม “อนุชา” และ “สุชาติ ชมกลิ่น” รมว.แรงงาน มากน้อยเพียงใด กลุ่มนี้ยังจะกัดฟันอาศัยชายคาพลังประชารัฐในการเลือกตั้งครั้งหน้าต่อหรือไม่
สถานะของกลุ่ม “4 ว” ที่มีตำแหน่ง “ส.ส.” ห้อยท้ายอยู่นั้น การที่เจ้าของพรรคจะบีบหรือไล่ให้พ้นพรรคไปเลยตอนนี้ จึงไม่ง่ายเหมือนที่เคยทำกับ “4 กุมาร” ที่ล้วนแต่ขาลอย ไร้หลักประกันใดๆ
ดังนั้น “เลือกตั้ง” ครั้งหน้าจึงสนุกและน่าติดตามอย่างมากว่า “พลังประชารัฐ” จะเป็นปึกแผ่นหรือมีบางกลุ่มแตกกระสานซ่านเซ็นไปตั้งพรรคใหม่ หรือไปรวมกับพรรคการเมืองใด
ไม่ว่าคำตอบจะออกซ้ายหรือขวา ก็ล้วนมีต้นทุน และผลดี ผลเสีย ให้นักเลือกตั้งมืออาชีพต้องคิดคำนวณอย่างถี่ถ้วน