ผ่าเกม 'ปรับ ครม.' อำนาจเปลี่ยนมือ?

จุดเริ่มต้นของการปรับคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในครั้งนี้ คือการบีบให้ “กลุ่ม 4 กุมาร” ซึ่งประกอบด้วย “อุตตม สาวนายน” อดีต รมว.คลัง “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” อดีต รมว.พลังงาน “สุวิทย์ เมษินทรีย์” อดีต รมว.การอุดมศึกษาฯ
“กอบศักดิ์ ภูตระกูล” อดีตรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี หลุดจากการเก้าอี้คณะกรรมการบริหาร พรรคพลังประชารัฐ (กก.บห.พปชร.)
“กลุ่ม 4 กุมาร” ไม่มีตำแหน่งภายในพรรค พปชร. จึงไร้อำนาจนำภายในพรรค ประกอบกับ ส.ส.ที่อยู่ในความดูแล มีจำนวนไม่มากพอที่จะต่อรองกับกลุ่มการเมืองภายใน พปชร. ที่ต่างก็มี ส.ส.มากกว่า
เมื่อ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ลงมากำกับดูแลพรรค ในฐานะประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์พรรค พปชร.ขณะนั้น จึงมีโอกาสคลุกคลีกับบรรดา ส.ส. มากขึ้น อาจทำให้ไม่สามารถทนแรงเสียดทาน จากคำยุยงของ “กลุ่มการเมือง” ได้
ที่สำคัญ ตั้งแต่จัดตั้ง “รัฐบาลประยุทธ์ 2/1” บทบาทของ “พล.อ.ประวิตร” ถูกลดทอนลงอย่างชัดเจน จากเดิมที่นั่งเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง ควบ รมว.กลาโหม และยังได้กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ทำให้บารมี-อำนาจของ พล.อ.ประวิตร พุ่งสู่จุดสูงสุด
ทว่า หลังจัดตั้งรัฐบาลเลือกตั้ง พล.อ.ประวิตร กลับถูกลดบทบาท-ถูกลดชั้น เหลือแค่เก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีลอยๆ โดย “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยึดกระทรวงกลาโหม-สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไปกำกับดูแลเองทั้งหมด ซึ่งอาจมีหลายเหตุผลประกอบกัน ทำให้ พล.อ.ประวิตร ต้องก้มหน้ายอมรับการถูกลดทอนอำนาจ
หากดูจากเส้นทางกระชับอำนาจแล้ว จะเห็นได้ว่า พล.อ.ประวิตร ไม่เคยหยุดที่จะวางแผนให้ตัวเองกลับมาเป็น “จุดศูนย์กลาง” ของอำนาจอีกครั้ง เข้ามาเดินนำ พรรคพปชร. โดยมี “กลุ่มการเมือง” แนะนำให้พลิกเกม ยึดพรรคพปชร. ดังนั้นจังหวะโอกาสของ พล.อ.ประวิตร จึงพลิกกลับมาอีก
หลังจากกลุ่ม 4 กุมารพ้นพรรคพปชร. พล.อ.ประวิตร ได้รับการผลักดันให้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค พปชร. ขณะที่ กลุ่ม 4 กุมาร ยังถูกกดดันต่อ จนไม่สามารถทำงานใน ครม.ได้ จึงตัดสินลาออก เพื่อเปิดทางให้นายกฯ ปรับครม. เช่นเดียวกับ “เทวัญ ลิปตพัลลภ” อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ “ม.ร.ว.จัตุมงคล โสณกุล” อดีต รมว.แรงงาน ต่างก็พากันส่งใบลาออกตามมา
ทำให้ขณะนี้มีเก้าอี้รัฐมนตรีว่างลง 6 ตำแหน่ง มี “เอนก เหล่าธรรมทัศน์” ตัวแทนจากพรรค รปช. ถือโควตารัฐมนตรี 1 เก้าอี้ ซึ่งจะเป็นเก้าอี้ใด อยู่ระหว่างการตกลงของ “พล.อ.ประยุทธ์” กับ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค รปช. ว่าจะยอมแลกกระทรวงแรงงาน กับ กระทรวงการอุดมศึกษาฯ หรือไม่ เนื่องจาก “พล.อ.ประวิตร-แกนนำพปชร.” ต้องการคุมกระทรวงแรงงานมากกว่า
ว่ากันว่า ความสัมพันธ์ของ พล.อ.ประยุทธ์ กับ “สุเทพ” แน่นแฟ้นมาก แต่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องยอมผิดคำสัญญากับ “สุเทพ” เพราะถูก “พล.อ.ประวิตร” กดดันอย่างหนักเช่นกัน
บทบาทของ พล.อ.ประวิตร แม้อำนาจจะไม่รวมศูนย์อยู่ที่ตัวเอง แต่กำลังใช้ยุทธวิธีควบคุม-สั่งการ “รัฐมนตรี” ที่เป็นลูกพรรค พปชร.ให้ซ้ายหัน-ขวาหัน คอยชักใยอยู่เบื้องหลังแทน ทำให้ พล.อ.ประวิตร กลับมาผงาดอีกครั้ง โดยใช้อำนาจผ่าน ลูกพรรคพปชร. ที่นั่งกุมอยู่หลายกระทรวง
แรงต่อรองของ พล.อ.ประวิตร ที่เพิ่มสูงขึ้น เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องรักษากระทรวงพลังงานไว้ในคอนโทรลให้ได้ เมื่อ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” แสดงจุดยืนชัดเจนว่า ต้องการเข้ามาคุมกระทรวงพลังงาน ด้วยแรงหนุนจาก ส.ส.กลุ่มสามมิตร
“สุริยะ” ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องยอมฉากถอยในบางจังหวะ ยอมอ้อนวอน “สุเทพ” เพื่อใช้กระทรวงแรงงานไปเป็นข้อต่อรอง หวังรักษากระทรวงพลังงานเอาไว้
เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ แลกกระทรวงแรงงานมาได้ ให้จับตาดูว่า ใครจะมานั่งเก้าอี้ “จับกัง 1” แม้ชื่อของ “สุชาติ ชมกลิ่น” ส.ส.ชลบุรี จะมาแรง แต่ให้ระวัง “อนุชา นาคาศัย” เลขาธิการพรรค พปชร.เอาไว้ให้ดี
เพราะถึงแม้ “อนุชา” จะมีชื่อนั่งเก้าอี้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แต่ด้วยศักดิ์ศรีแล้ว “อนุชา-สามมิตร” ไม่ยอมแน่นอน
จึงมีโอกาสสูงที่ “อนุชา” จะถูกสลับไปนั่งเก้าอี้ รมว.แรงงาน ส่วน “สุชาติ” มีโอกาสถูกสลับกระทรวงหรือไม่ เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ อาจจะต้องปรับทัพใหม่ ดึง “แกนนำพรรคพปชร.” มาอยู่ภายใต้การควบคุม เพื่อสืบเสาะความเคลื่อนไหวเชิงลึกในพรรคนี้
ชื่อของ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” รมช.เกษตรและสหกรณ์ จึงถูกทาบทามให้มานั่งเก้าอี้รมช.มหาดไทย ส่ง “สุชาติ” นั่งเก้าอี้ รมช.เกษตรและสหกรณ์แทน ส่วน “นฤมล ภิญโญสินวัฒน์” โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี คนข้างกาย “พล.อ.ประวิตร” มีโอกาสสมหวังเช่นกัน โดยถูกวางตัวไว้ให้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีในรอบนี้ ซึ่งล่าสุดมีโอกาสไปนั่ง รมช.แรงงาน
เมื่อมีกระแสว่า “ไพรินทร์ ชูโชติถาวร” ขอถอนตัวจาก ครม.ประยุทธ์ 2/2 จึงมีโอกาสสูงที่ “นฤมล” จะสมหวัง เนื่องจากเก้าอี้จะว่างลงทันที 1 ตำแหน่ง
หากโผออกมาตามที่คาดการณ์ “เด็กในคาถาบิ๊กป้อม” เข้าวินเกือบทุกคน แม้ “สุริยะ-สามมิตร” จะไม่สมหวังที่ได้คุมพลังงาน แต่หาก “อนุชา” นั่ง รมว.แรงงาน ทำให้กลุ่มสามมิตรมีรัฐมนตรีว่าการถึง 3 คน ถือว่าได้มากกว่า “กลุ่มการเมือง” อื่นๆ ในพรรคพปชร. และคนที่ “สามมิตร” ให้เครดิตมากที่สุด หนีไม่พ้นพล.อ.ประวิตร
ต่อจากนี้ ต้องจับตาเกมอำนาจของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่อาจสูญเสียการนำให้ พล.อ.ประวิตร อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ก่อนหน้านี้ พล.อ.ประวิตร จะมี “สมคิด-4 กุมาร” คอยบาลานซ์อำนาจภายในพรรค พปชร.ให้ คอยรายงานข้อมูลลับความเคลื่อนไหวของ “กลุ่มการเมือง” ให้ พล.อ.ประยุทธ์ รับรู้
เมื่อไม่มี “สมคิด-4 กุมาร” อาจทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ ต้องดีลลับกับ “แกนนำ พปชร.บางคน” ซึ่งภายในพรรค พปชร.จับตาไปที่ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ยิ่งปรากฏความเคลื่อนไหวเมื่อวันที่ 22 ก.ค.ที่ผ่านมา ร.อ.ธรรมนัส เดินขึ้นตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล เพื่อปรึกษาหารือกับ พล.อ.ประยุทธ์ ก่อนที่จะนำข้อความจาก พล.อ.ประยุทธ์ มาแจ้งต่อแกนนำพปชร. ที่อาคารรัฐสภา
อีกคนที่ ร.อ.ธรรมนัส ใช้เวลาหารือนานที่สุดคือ “สันติ พร้อมพัฒน์” รมช.คลัง จึงต้องตามดูว่าภายหลังปรับ ครม. “ขุนพลข้างกาย” ของ พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นใคร ส่วนขุนพลข้างกาย ของ พล.อ.ประวิตร ต่างก็เปิดหน้าให้เห็นกันหมดแล้ว
ฉะนั้นการปรับ ครม.ที่ทอดยาวไปถึงกลางเดือน ส.ค.จึงยังมีปัจจัยแปรผันสูง ต้องรอติดตามในช่วงโค้งสุดท้ายใครจะเข้าวิน หรือชื่อใครจะหลุดโผ
แต่ที่แน่ๆ อำนาจการเมืองของ “พล.อ.ประวิตร” กลับมาแผ่บารมีอีกครั้ง







