โต้ 'หญิงหน่อย' คดีฟอกเงิน 'โอ๊ค' ยังไม่ขาดอายุความ

โต้ 'หญิงหน่อย' คดีฟอกเงิน 'โอ๊ค' ยังไม่ขาดอายุความ

"โฆษกยธ." โต้ "หญิงหน่อย" คดีฟอกเงิน "พานทองแท้" ยังไม่ขาดอายุความ ยัน "ดีเอสไอ" มีอิสระทำคดี ไม่มีการแทรกแซงให้สั่งฟ้อง

นายธวัชชัย ไทยเขียว รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ในฐานะโฆษกกระทรวง เปิดเผยว่า พ.ต.อ.ไพสิฐ วงศ์เมือง อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ชี้แจงกรณีคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แกนนำพรรคเพื่อไทยเผยแพร่เอกสารร้องเรียนต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) เพื่อร้องทุกข์คำสั่งกระทรวงยุติธรรมที่สั่งย้าย พ.ต.ท.สมบูรณ์ สาระสิทธิ์ รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจราชการพิเศษ สำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยระบุว่าสาเหตุที่ถูกสั่งย้ายเป็นเพราะไม่ยอมแจ้งข้อหารับของโจรและฟอกเงินต่อนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายนายทักษิณ ชินวัตร เนื่องจากเห็นว่าตรวจสอบแล้วพยานหลักฐานไม่เพียงพอ อีกทั้งคดีได้หมดอายุความแล้ว แต่ข้าราชการระดับสูงของกรมสอบสวนคดีพิเศษไม่ยินยอมและสั่งการให้ฟ้องคดีไปก่อน แล้วค่อยให้ผู้ต้องหาแก้ต่างเอาเองนั้น

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบข้อเท็จจริงมีสาระสำคัญมูลแห่งเรื่องนี้ เนื่องจากคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.) ได้มีมติให้รับคดีความผิดเกี่ยวกับการฟอกเงินของธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อให้กลุ่มบริษัท กฤษดามหานคร จำกัด (มหาชน) เป็นคดีพิเศษ ตามที่คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อรัฐ (คตส.) ร้องขอ โดยรับเป็นคดีพิเศษที่ 36/2550 และมีการสอบสวนเรื่อยมา ซึ่งการสอบสวนดังกล่าวมีการดำเนินการร่วมกันกับพนักงานอัยการ ซึ่งมีความผิดมูลฐานจากกรณีที่ คตส. ดำเนินการและต่อมาส่งมอบให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ดำเนินคดีกับผู้บริหารธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการซึ่งปี 2558 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้มีคำพิพากษาให้ลงโทษในคดีดังกล่าว

คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษและพนักงานอัยการจึงได้นำผลคำพิพากษาและเส้นทางการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยรวบรวมไว้มาเป็นหลักฐานสำคัญในการดำเนินคดีพิเศษที่ 36/2550 ซึ่งช่วงเวลาดังกล่าว มี พ.ต.ท.สมบูรณ์ เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวน ทางคดีมีการสอบสวนต่อเนื่องมา จนประมาณเดือนตุลาคม 59 ได้มีการขอโอนย้าย พ.ต.ท.สมบูรณ์ ไปยังสํานักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี โดยมีคำสั่งโอนย้ายเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2559 อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงเข้าทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนแทนเพื่อดำเนินการต่อไป และจากการสอบสวนได้มีการแจ้งข้อหาดำเนินคดีกับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล รวม 13 ราย และสรุปสำนวนการสอบสวนมีความเห็นควรสั่งฟ้อง ส่งพนักงานอัยการเมื่อวันที่ 27 ก.พ. 2560​

โฆษกกระทรวงยุติธรรม ชี้แจงด้วยว่า ในช่วงเวลาที่อยู่ระหว่างการสอบสวนคดีพิเศษที่ 36/2550 และเป็นเวลาภายหลังจากที่ พ.ต.ท.สมบูรณ์ได้โอนย้ายไปสังกัดสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีแล้วนั้น สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้มีหนังสือลงวันที่ 22 ธ.ค. 59 ถึงอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษขอให้กรมสอบสวนคดีพิเศษพิจารณาดำเนินคดี ในส่วนที่เกี่ยวกับนายพานทองแท้ กับพวกรวม 4 คน ในความผิดฐานฟอกเงินตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 คณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษได้แยกการดำเนินการดังกล่าวเป็นอีกคดีหนึ่งเพื่อมิให้มีผลกระทบต่อคดีพิเศษที่ 36/2550 ที่สอบสวนใกล้เสร็จสิ้นโดยแยกเป็นสำนวนการสอบสวนคดีพิเศษที่ 25/2560 ซึ่งมีอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษเป็นหัวหน้าคณะพนักงานสอบสวนและมีพนักงานอัยการมาสอบสวนร่วมด้วย ปัจจุบันคดียังกล่าวยังอยู่ระหว่างการสอบสวนและยังมิได้มีการแจ้งข้อหากับผู้ใด

"การสอบสวนเป็นไปอย่างอิสระในรูปของคณะกรรมการ ไม่มีการแทรกแซงจากบุคคลหรือหน่วยงานใดๆทั้งสิ้น กรณีดังกล่าวจึงไม่สอดคล้องกับข้อร้องเรียนที่ว่ามีการบังคับให้ผู้ใดแจ้งข้อหาต่อนายพานทองแท้ ทั้งนี้คณะพนักงานสอบสวนจะได้ทำการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานตามข้อกล่าวหาและพิจารณาดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องตามบทกฎหมายต่อไป" นายธวัชชัย ระบุ