ปธ.ศาลฎีกาออกคำแนะนำหลักเกณฑ์รอลงโทษ-คุมประพฤติปี59
ประธานศาลฎีกา ออกคำแนะนำ ยกหลักเกณฑ์วิธีการรอกำหนดโทษ - รอการลงโทษ-คุมประพฤติ ปี 59 ให้ผู้พิพากษากล้าใช้ดุลยพินิจเลี่ยงโทษคุกระยะสั้น
ส่งเสริมการคุมประพฤติเข้มงวด แก้ปัญหาผู้ต้องขังล้นคุกหลัก 3 แสน-ให้กลุ่มทำผิดครั้งแรกเพราะพลาดพลั้งไม่ติดนิสัยทำผิดซ้ำ ได้แก้ตัว “โฆษกศาลยุติธรรม” ระบุ หลักเกณฑ์ช่วยคลายปมเสนอ กม.ชะลอฟ้อง ให้อำนาจตุลาการสำรวจความผิดก่อน เลือกมาตรการเหมาะสม แทนการตัดฟ้องตามร่างชะลอฟ้อง
เมื่อวันที่ 29 ธ.ค.59 นายอธิคม อินทุภูติ เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม เปิดเผยถึงการแก้ไขกฎหมายในช่วงปี 2559 ว่า สืบเนื่องจากปัจจุบันมีผู้ต้องโทษตามคำพิพากษาของศาลให้ลงโทษจำคุกอยู่ในเรือนจำ ประมาณ 300,000 คน มากกว่าจำนวนผู้ต้องขังที่สามารถรับได้ ทำให้ระยะหลังนี้มีแนวคิดเรื่องการเบี่ยงเบนการลงโทษจำคุกเกิดขึ้น ซึ่งศาลยุติธรรมเข้าใจปัญหานี้ดี จึงได้มีการเสนอแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ตาม พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา ฉบับที่ 25 พ.ศ.2559 แก้ไขหลักเกณฑ์การรอการลงโทษ รอการกำหนดโทษ และการคุมความประพฤติ ที่กำหนดไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ซึ่งมีผลใช้บังคับแล้ว โดยนายวีระพล ตั้งสุวรรณ ประธานศาลฎีกา ได้มีคำแนะนำเรื่องนี้โดยออกเป็นคำแนะนำประธานศาลฎีกาเกี่ยวกับวิธีการรอการกำหนดโทษ , รอการลงโทษ และกำหนดเงื่อนไขคุมประพฤติ พ.ศ.2559
ขณะที่นายสืบพงษ์ ศรีพงษ์กุล โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวเสริมถึงรายละเอียดคำแนะนำประธานศาลฎีกาเกี่ยวกับวิธีการรอการกำหนดโทษฯ ว่า นายวีระพล ประธานศาลฎีกา ได้เล็งเห็นถึงความสำคัญของการหลีกเลี่ยงการลงโทษจำคุกในระยะสั้น และส่งเสริมให้นำวิธีการต่างๆ ที่บัญญัติอยู่ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 มาใช้ จึงออกเป็น “คำแนะนำของประธานศาลฎีกาเกี่ยวกับวิธีการ รอการกำหนดโทษ กับรอการลงโทษ และการกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติ พ.ศ.2559 ” ซึ่งบังคับใช้เมื่อวันที่ 18 ต.ค.59 ที่ผ่านมาโดยมีรายละเอียดสาระสำคัญ 16 ข้อ มีหลักเกณฑ์สำคัญให้ผู้พิพากษาใช้พิจารณาประกอบดุลยพินิจได้อย่างเหมาะสม ที่จะได้มาจากข้อมูลต่างๆ จากการสอบถามจำเลย จากสำนวนการสอบสวน หรือรายงานการสืบเสาะพินิจจำเลยของพนักงานคุมประพฤติ โดยศาลอาจใช้ดุลพินิจรอการกำหนดโทษ หรือรอการลงโทษไว้ ซึ่งมุ่งเน้นใน 2 กรณี
กรณีที่ 1 คือ มุ่งเน้นสำหรับการกระทำความผิดครั้งแรก และจำเลยยังไม่สมควรที่จะถูกลงโทษให้มีมลทินติดตัว
กรณีที่ 2 คือ แม้จำเลยจะทำความผิด แต่ไม่ใช่ผู้ที่กระทำผิดจนติดเป็นนิสัย หรือทำซ้ำบ่อยๆ โดยยังอยู่ในภาวะที่แก้ไขได้ ประธานศาลฎีกา จึงออกเป็นคำแนะนำว่ากรณีเช่นนี้อาจนำวิธีการรอการกำหนดโทษ หรือรอการลงโทษมาใช้โดยกำหนดมาตรการป้องกันไม่ให้กระทำความผิดซ้ำอีก ด้วยการกำหนดเงื่อนไขการคุมความประพฤติโดยเน้นมาตรการแก้ไขฟื้นฟูและป้องกันไม่ให้จำเลยทำความผิดซ้ำ ซึ่งการรู้สำนึกในการกระทำความผิดและการแก้ไขเยียวยาจะส่งผลให้จำเลยที่กระทำความผิดไม่ร้ายแรง ได้มีโอกาสแก้ไข ปรับปรุงและกลับตัว ไม่มีมลทินติดตัว และยังทำให้ศาลสามารถใช้ดุลยพินิจรอการกำหนดโทษ หรือรอการลงโทษได้อย่างเหมาะสมยิ่งขึ้น
นายสืบพงษ์ โฆษกศาลยุติธรรม กล่าวอีกว่า เมื่อมีการออกเป็นคำแนะนำประธานศาลฎีกาเรื่องนี้แล้ว ความจำเป็นที่จะให้มีการพิจารณาเรื่องกฎหมายชะลอฟ้องที่เคยเสนอกันเพื่อแก้ปัญหาผู้ต้องขังล้นคุกนั้น ก็ผ่อนคลายลงไป โดยเป็นการใช้อำนาจตุลาการตรวจสอบคดีที่มีการฟ้องคดีขึ้นมา ซึ่งศาลจะใช้ดุลยพินิจพยานหลักฐานว่ามีความผิดหรือไม่ ถ้ามีความผิดควรใช้มาตรการลงโทษระดับใด มิใช่การใช้อำนาจชะลอฟ้องไปก่อนจะฟ้องคดี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเนื้อหาคำแนะนำประธานศาลฎีกาเกี่ยวกับวิธีการรอการกำหนดโทษนั้นฯ ที่น่าสนใจ คือ ข้อ 3 กำหนดว่าการใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษ ศาลพึงให้โอกาสจำเลยมิต้องรับโทษจำคุกหรือโทษปรับ โดยไม่จำเป็น แต่พึงเน้นการใช้มาตรการเพื่อแก้ไขฟื้นฟูและป้องกันมิให้จำเลยกระทำผิดซ้ำแทนการลงโทษจำคุก ส่วนโทษจำคุกนั้น ควรนำมาใช้เมื่อจำเลยกระทำความผิดอาญาร้ายแรงและน่าจะเป็น อันตรายต่อสังคม ซึ่งการลงโทษจำคุกให้คำนึงถึงผลเสียของการลงโทษจำคุกระยะสั้น โดยใช้มาตรการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 หรือมาตรา 55 ประกอบด้วย
ข้อ 4 กำหนดไว้ว่า ระหว่างการรอการกำหนดโทษ การรอการรลงโทษ หรือคุมความประพฤติ ศาลอาจแต่งตั้งบุคคลในครอบครัวของจำเลยหรือบุคคลที่ศาลเห็นสมควรซึ่งยอมรับดูแลจำเลยนอกจากพนักงาน คุ้ำมประพฤติหรือเจ้าพนักงานศาล เป็นผู้ควบคุมดูแล ให้คำแนะนำ ช่วยเหลือ หรือตักเตือน รวมถึงติดตามการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนด โดยระบุถึงระยะเวลาและวิธีการรายงานผลการปฏิบัติตาม เงื่อนไขดังกล่าวให้ศาลทราบ
ขณะที่หลักเกณฑ์ให้รอการกำหนดโทษได้ ถูกระบุไว้ในข้อ 6 ว่า ในคดีความผิดที่มีอัตราโทษจำคุกอย่างสูงไม่เกิน 5 ปี คดีความผิดที่มีโทษปรับสถานเดียว คดีความผิดอันยอมความได้ คดีความผิดที่ได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ คดีที่ศาลจะลงโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี คดีที่จำเลยไม่เคยต้องโทษมาก่อน หรือคดีที่ตามบัญชีมาตรฐานการลงโทษของศาลกำหนดให้ความผิดนั้นอาจรอการลงโทษได้
ศาลพึงพิจารณาใช้วิธีการรอการกำหนดโทษ หากพฤติการณ์แห่งคดีปรากฏว่า
(1) จำเลยกระทำความผิดโดยมีสาเหตุมาจากความยากจนหรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ และไม่เกิดความเสียหายร้ายแรง
(2) จำเลยสำนึกถึงการกระทำความผิดและพยายามบรรเทาผลร้ายที่เกิดขึ้น และในกรณีที่มีผู้เสียหายบุคคลดังกล่าวไม่ติดใจที่จะดำเนินคดีแก่จำเลย
(3) จำเลยเป็นหญิงมีครรภ์ คนชรา คนพิการ ผู้ที่ป่วยเจ็บหรือเป็นโรคร้ายแรง
(4) ผู้เสียหายกับจำเลยมีความสัมพันธ์กันในทางใดทางหนึ่ง เช่น เป็นบุคคลในครอบครัว ญาติ เพื่อนบ้าน หรือผู้ร่วมงาน และผู้เสียหายกับจำเลยต่างมีความเข้าใจที่ดีต่อกันแล้ว
(5) พฤติการณ์อื่นใดอันสมควรรอการกำหนดโทษเพื่อมิให้จำเลยมีประวัติการต้องโทษติดตัว
โดย ข้อ 7 กำหนดว่า ภายในกำหนดระยะเวลารอการกำหนดโทษ หากจำเลยกระทำผิดขึ้นอีก หรือไม่ปฏิบัติ ตามเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติ ศาลอาจดำเนินการอย่างใดอย่างหนึ่งตามความเหมาะสมแก่กรณี ดังต่อไปนี้ (1) ตักเตือนจำเลย (2) เปลี่ยนแปลงหรือเพิ่มเติมเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติ (3) กำหนดโทษแต่รอการลงโทษ (4) กำหนดโทษแล้วลงโทษ
ส่วนหลักเกณฑ์การกำหนดการคุมความประพฤติ ระบุไว้ในข้อ 11 ว่า คดีความผิดที่การกระทำมีผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม ไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อม ศาลพึงกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติโดยให้มีการส่งเสริมหรือแก้ไขฟื้นฟูหรือเยียวยาความเสียหายที่เกิดแก่ทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม หรือชดใช้ค่าเสียหาย โดยคำนึงถึงเจตนาของจำเลย ความร้ายแรงแห่งการกระทำความผิด และผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว เพื่อใช้ประกอบการพิจารณากำหนดวิธีการแก้ไขฟื้นฟูหรือเยียวยาความเสียหาย หรือจำนวนเงินในการชดใช้ค่าเสียหาย กับให้พิจารณาประกอบกับคำแนะนำของประธานศาลฎีกาเกี่ยวกับการดำเนินคดีสิ่งแวดล้อม ฉบับลงวันที่ 9 มี.ค.54
และข้อ 13 ในการป้องกันมิให้จำเลยไปกระทำความผิดซ้้ำ ศาลพึงกำหนดเงื่อนไขเพื่อคุมความประพฤติโดยการให้ละเว้นการคบหาสมาคมหรือการประพฤติใด ห้ามออกนอกสถานที่อยู่อาศัย ห้ามเข้าในสถานที่ใด หรือให้ทำทัณฑ์บน โดยให้คำนึงถึงว่าเงื่อนไขดังกล่าว
(1) ไม่กระทบต่อการดำรงชีวิตของจำเลยเกินสมควร โดยอาจกำหนดเงื่อนไขเกี่ยวกับเวลา สถานที่ และตัวบุคคล หรือเงื่อนไขอื่นเพิ่มเติมเกี่ยวกับการคบหาสมาคมหรือการประพฤติใดให้เหมาะสมกับลักษณะของจำเลยก็ได้
(2) มีส่วนช่วยในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการดำเนินชีวิตของจำเลย และป้องกันอันตรายต่อผู้เสียหายและสังคม ทั้งนี้ควรจัดให้มีการติดตามการปฏิบัติตามเงื่อนไขที่ศาลกำหนดโดยนำข้อ 4 มาใช้บังคับโดยอนุโลม
(3) ช่วยลดโอกาสและความรุนแรงที่จำเลยอาจก่อเหตุร้ายหรือก่อให้เกิดภยันตรายขึ้นอีก







