เปิดคำพิพากษาศาลยกฟ้อง 'เริงชัย' คดีปกป้องค่าเงินบาท

เปิดคำพิพากษาศาลยกฟ้อง 'เริงชัย' คดีปกป้องค่าเงินบาท

เปิดคำพิพากษาศาลฎีกายกฟ้อง “ เริงชัย มะระกานนท์ ” คดีปกป้องค่าเงินบาท

คำตัดสินของศาลฎีกาที่ยกฟ้อง “เริงชัย มะระกานนท์” เหมือนยกภูเขาออกจากอกของ เริงชัย ที่ต่อสู้กับเรื่องนี้มายาวนานกว่า 15 ปี โดยก่อนหน้านั้น เริงชัย ถูก ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) และ กองทุนรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ร่วมเป็นโจทก์ที่ 1 และ 2 ฟ้องร้องฐานละเมินคำสั่งทำธุรกรรมใช้เงินทุนสำรองระหว่างประเทศไปปกป้องค่าเงิน จนได้รับความเสียหาย เป็นจำนวน 186,015,830,720 บาท 

สาเหตุที่ศาลฎีกายกฟ้อง เนื่องจากข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ประเทศไทยเริ่มใช้ระบบตะกร้าเงินตั้งแต่ปี 2533 และเพื่อยืนยันการเปิดเสรีทางการเงิน ในปี 2539 เริ่มนำระบบวิเทศธนกิจ(บีไอบีเอฟ) มาใช้เพื่อลดการกีดกันและลดอัตราภาษีการกู้เงินตราต่างประเทศ ไปพร้อมๆ กับการใช้ระบบตะกร้าเงิน 

ในปี 2538 ไทยเริ่มขาดดุลบัญชีเดินสะพัด และในปี 2539 เริ่มมีภาระหนี้เพิ่มถึง 50.14%ของรายได้ประชาชาติ ขณะนั้น โจทก์ที่ 1 ซึ่งคือ ธปท. แก้ปัญหาด้วยการเข้มงวดการให้สินเชื่อสำหรับสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ 

นอกจากนั้นไทยยังประสบปัญหาธนาคารและสถาบันการเงินที่จะล้ม จำเลยซึ่อคือ “เริงชัย” ในขณะนั้นเป็นผู้ว่าการ ธปท. ได้พิจารณาที่จะเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราให้ยืดหยุ่นมากขึ้น แต่ติดขัดด้วยเหตุผลทางวิชาการว่า การเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนควรดำเนินการเมื่อสภาพเศรษฐกิจดี หากดำเนินการช่วงเศรษฐกิจไม่ดีจะทำให้ระบบการเงินไม่มั่นคง 

ฝ่ายวิชาการจึงเสนอขั้นตอนแก้ปัญหา 4 ขั้นตอน คือ 1.ลดค่าใช้จ่ายประชาชน 2.แก้ปัญหาการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ 3.แก้ปัญหาสถาบันการเงิน 4.เปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตรา ซึ่ง ธปท. ในขณะนั้นเห็นควรให้ดำเนินการตามขั้นตอนดังกล่าว 

แต่ทว่าบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ “มูดี้ส์” ได้ปรับลดความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงินและประเทศไทยลง ทำให้เกิดความตื่นตระหนกในบรรดาลูกหนี้ที่ต้องชำระหนี้เป็นเงินดอลลาร์ว่า อาจมีการลดค่าเงินบาท ส่งผลให้มีการเก็งกำไรค่าเงินบาทหลายครั้ง 

เริงชัย จึงได้อนุมัติให้นำเงินทุนสำรองฯออกปกป้องค่าเงิน เพราะไม่กล้าปล่อยให้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนเป็นไปตามตลาดที่แท้จริง เนื่องจากเห็นว่าจะทำให้สถาบันการเงินมีภาระหนี้สูงขึ้นอาจถึงขั้นล้มละลายได้ 

นอกจากนี้ จากการเบิกพยานหลายปาก ให้การว่า การเปิดเสรีทางการเงินทำให้รัฐไม่สามารถควบคุมวินัยการเงินได้ มีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามาจำนวนมาก แต่ค่าเงินบาทผูกติดกับค่าเงินในตะกร้าเงิน เมื่อเศรษฐกิจไทยไม่เคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกับเศรษฐกิจของประเทศ เจ้าของตระกูลเงินในตะกร้า ย่อมเกิดช่องว่างของอัตราแลกเปลี่ยน 

พยานเห็นว่า ต้นทุนของปัญหา คือ การเปิดเสรีทางการเงินกับการตรึงอัตราแลกเปลี่ยนเป็นวิธีที่ไม่สอดคล้องกัน สมควรปล่อยให้ค่าเงินบาทลอยตัว แต่การปล่อยค่าเงินบาทลอยตัวในทันทีจะทำให้หนี้ต่างประเทศเพิ่มขึ้น ผู้กู้เงินจากต่างประเทศล้วนเป็นบริษัทใหญ่และเป็นผู้มีอิทธิพลทางการเมืองจะต้องล้มละลายทันที 

สอดคล้องกับความเห็นของ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ(ไอเอ็มเอฟ) ที่ช่วงเวลานั้นมีหนังสือลงวันที่ 31 ม.ค.2540 แนะนำให้ประเทศไทยแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจโดยให้คงนโยบายการเงินและการคลังที่เข้มงวด ลดการขาดดุลบัญชีเดินสะพัด แต่ไม่แนะนำให้เปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยน เพียงแต่บอกว่าควรปรับให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้นเท่านั้น

อย่างไรก็ตามในช่วงนั้นมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยฝ่ายค้านหยิบยกปัญหาการปล่อยสินเชื่อโดยทุจริตของธนาคารกรุงเทพพาณิชยการ หรือ บีบีซี ขึ้นอภิปราย ทำให้เกิดความไม่เชื่อมั่นในระบบสถาบันการเงิน เริ่มเกิดการเก็งกำไรค่าเงินอีกครั้ง 

โดย เริงชัย ได้ใช้มาตรการแยกตลาดเงินด้วยการห้ามนำเงินบาทออกนอกประเทศ ทำให้นักเก็งกำไรค่าเงินขาดทุน “จอร์ซ โซรอส” ผู้จัดการกองทุนเฮจด์ฟันด์ ต้องขอนัดเจรจาประนีประนอม แต่ต่อมาได้ยกเลิกนัดไป เพราะเชื่อว่า “เริงชัย” และ “อำนวย วีรวรรณ” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในขณะนั้นต้องลาออก และก็เป็นไปตามคาดเพราะเดือนมิ.ย.2540 “อำนวย” ตัดสินใจลาออก ส่งผลให้ข่าวลือเรื่องการลดค่าเงินบาทและการโจมตีค่าเงินในตลาดต่างประเทศทวีความรุนแรงมากขึ้น 

กระทั่ง “ทนง พิทยะ” เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนต่อมา ตัดสินใจว่า ควรแก้ปัญหาอย่างเด็ดขาด นำไปสู่การลอยตัวค่าเงินในวันที่ 2 ก.ค.2540 และปิดกิจการสถาบันการเงินหลายแห่ง ต่อมา เริงชัย ได้ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งผู้ว่าการธปท.ด้วย 

ทั้งหมดนี้ คณะกรรมการพิจารณาความรับผิดชอบทางแพ่ง มองว่า ธปท.และกองทุนรักษาระดับแลกเปลี่ยนฯ มีอำนาจหน้าที่โดยชอบธรรมที่จะทำธุรกรรมสวอป การรักษาเสถียรภาพค่าเงิน โดยไม่เปลี่ยนแปลงนโยบายอัตราแลกเปลี่ยนในทันที เหมาะสมกับสถานการณ์ในขณะนั้น และการทำธุรกรรมสวอป ช่วงเวลาระหว่างวันที่ 1 พ.ย.2539 ถึง 30 มิ.ย.2540 ไม่มีความเสียหาย จึงไม่มีผู้ใดต้องรับผิดชอบ ชดใช้ค่าเสียหาย

ตามสำรวจรายงานผลการศึกษา วิเคราะห์ และความเห็นกรณีปกป้องค่าเงินบาท เอกสารหมายเลข ล.17 ข้อเท็จจริงดังกล่าวแสดงชัดเจนว่า เริงชัย เข้ารับตำแหน่งผู้ว่าการ ธปท. ในช่วงเวลาเกิดวิกฤตของประเทศที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจและค่าเงิน ท่ามกลางแรงกดดันทั้งทางเศรษฐกิจและการเมือง รัฐบาลถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจในประเด็นทางเศรษฐกิจ รัฐมนตรีคลังต้องลาออกไปหลายคน 

แม้ผู้ว่าการธปท.คนก่อนต้องลาออกเช่นกัน แต่ เริงชัย พยายามศึกษาวิเคราะห์หาวิธีแก้ไขโดยปรึกษาหารือกับผู้บริหารและนักวิชาการภายในองค์กรธปท. ใช้หลักวิชาการดำเนินการแก้ปัญหาให้ตรงจุดตามขั้นตอน โดยเริ่มที่ปัญหาการใช้จ่ายเกินตัว และปัญหาอสังหาริมทรัพย์ ส่งผลให้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินมีปัญหาไปด้วย โดยยังไม่เสนอเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยน เพราะจะทำให้ลูกหนี้เงินกู้ต่างประเทศมีหนี้เพิ่มขึ้นทันที เสี่ยงต่อการล้มละลาย 

แต่การทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวสร้างความไม่พอใจแก่นักลงทุนและนักการเมืองที่มีอิทธิพล กดดันให้มาตรการต่างๆ ไม่สัมฤทธิ์ผล เปิดโอกาสให้มีการสร้างข่าวลือและการโจมตีค่าเงินบาทเพื่อเก็งกำไรหากค่าเงินบาทต้องลดลง ขณะที่ เริงชัย ได้ปรึกษาหารือกับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและคณะที่ปรึกษาหลายครั้ง แต่ไม่ตัดสินใจอย่างใดอย่างหนึ่ง

การทำสวอปเพื่อประคับประคองเสถียรภาพค่าเงินบาทไว้ จึงเป็นมาตรการจำเป็นในสถานการณ์ดังกล่าว แม้มีความเสี่ยงต่อการขาดทุน แต่ก็ปรากฎว่าในช่วงเวลาก่อนการเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเป็นลอยตัว ทั้ง ธปท. และ กองทุนรักษาระดับแลกเปลี่ยน ไม่ได้ขาดทุน 

ครั้งเมื่อรัฐบาลประกาศเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราเป็นลอยตัว มีกระแสกดดันทางการเมือง นายกรัฐมนตรีก็ขอให้ เริงชัย ลาออกเพื่อลดกระแส ไม่ใช่เพื่อให้รับผิดชอบ แม้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงหาผู้รับผิด คณะกรรมการชุดต่างๆ ก็เสนอความเห็นหลายครั้งว่า จำเลยไม่ต้องรับผิดชอบ 

ดังนั้นการกระทำของ เริงชัย ที่ ธปท. อ้างว่า ไม่เสนอเปลี่ยนระบบอัตราแลกเปลี่ยนก่อนหน้านั้น การไม่หยุดแทรกแซงค่าเงินบาท และการทำธุรกรรมสวอปโดยไม่กำหนดขอบเขตการใช้เงินทุนสำรอง จึงเป็นการกระทำที่เหมาะสมแก่สถานการณ์ ไม่เป็นการจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ไม่เป็นการละเมิดต่อ ธปท. ไม่จำเป็นต้องพิจารณาประเด็นค่าเสียหายใดๆ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้อง ธปท. มาด้วยนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วยในผล ซึ่งฎีกาของธปท.จึงฟังไม่ขึ้น