ชี้นโยบายคืนครูสู่ห้องเรียน ส่งผลครูไทยได้เวลาคืน19วัน

ชี้นโยบายคืนครูสู่ห้องเรียน ส่งผลครูไทยได้เวลาคืน19วัน

เปิดผลสำรวจตารางชีวิตครูไทยใน1ปี พบนโยบายคืนครูสู่ห้องเรียน ทำให้ครูได้เวลาคืนสู่ห้องเรียน19วัน หนุนลดภาระเอกสาร–ปรับเกณฑ์การประเมินโรงเรียน

ที่สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน(สสค.)ได้มีการแถลงข่าวเปิด “ผลสำรวจตารางชีวิตครูไทยใน 1 ปี” โดย ดร.อมรวิชช์ นาครทรรพ ผู้ทรงคุณวุฒิ สสค. กล่าวว่า จากการสำรวจกิจกรรมภายนอกชั้นเรียนที่กระทบต่อการจัดการเรียนการสอนของครู ระหว่างวันที่ 26 ธ.ค.2558-5 ม.ค.2559 โดยการสัมภาษณ์ครูที่ได้รับรางวัลครูสอนดีจาก สสค. ทั่วประเทศ 319 คน ซึ่งเป็นกลุ่มตัวอย่างเดิมจากการเก็บข้อมูลในปี 2557 เพื่อให้เกิดความแม่นยำในการเปรียบเทียบสถานการณ์ พบว่า ในปี 2558 มีวันเปิดเรียน 200 วัน ครูต้องใช้เวลากับกิจกรรมนอกชั้นเรียนที่ไม่ใช่การสอนถึง65 วัน คิดเป็น 32.5% ซึ่งลดลงจากปี 2557 ที่ครูต้องใช้เวลาถึง 84 วัน เท่ากับว่าครูได้รับการคืนเวลาสู่ห้องเรียนมากขึ้นถึง 19 วัน คิดเป็น 25% ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีมาก

นอกจากนั้น กิจกรรมนอกห้องเรียนที่ครูมองว่ามีแนวโน้มลดลงและภาคนโยบายควรผลักดันให้ลดกิจกรรมเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ อันดับ 1 การประเมินต่างๆของโรงเรียนและครู 39.68% เนื่องจากทำให้ครุไม่ได้สอนหนังสือเพราะต้องใช้เวลาในการเตรียมเอกสารต่างๆ อันดับ2 กิจกรรมต่างๆของโรงเรียน 27.78% เพราะนักเรียนต้องเข้าร่วมกิจกรรม จัดเตรียมกิจกรรม อันดับ 3 การแข่งขันทางวิชาการต่างๆ 12.70 % เนื่องจากครูต้องเตรียมความพร้อมให้นักเรียน นักเรียนบางคนไม่สามารถเข้าเรียนได้ และอันดับ 4 การอบรม 12.70 เพราะครูต้องทิ้งชั้นเรียน ทำให้จัดการเรียนการสอนไม่ทัน หรือต้องรวบรัดตัดตอน เสียเวลาเรียน

“ปัจจัยที่สามารถคืนเวลาให้ครูได้มากขึ้นนั้น เกิดจากการดำเนินนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) เรื่องการปรับลดจำนวนวิชาแบบทดสอบทางการศึกษาระดับชาติขั้นพื้นฐาน(โอเน็ต) การลดกิจกรรมประกวดแข่งขันและอบรมครูลง นอกจากนี้ยังมีอีกหลายเรื่องที่กำลังดำเนินการ เช่น การปรับระบบการประเมินวิทยฐานะของครูและผู้บริหาร ที่ไม่ผูกกับการแข่งขัน และการได้รางวัล รวมถึงการปรับระบบประเมินของสำนักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.)ซึ่งคาดว่าเมื่อเรื่องเหล่านี้ได้ข้อสรุป และนำมาใช้แล้ว จะสามารถคืนเวลาการสอนให้ครูได้เพิ่มขึ้น ในปี 2559 ถึง 50% หรือประมาณ 35-40วัน ”ดร.อมรวิชช์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม อยากให้มีกลไกเข้าไปรองรับกับการที่ครูมีเวลาในชั้นเรียนเพิ่มขึ้นโดยเร็ว เพื่อให้เวลาเหล่านี้ได้นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์จริงๆ โดยเฉพาะการเตรียมการสอน และการพัฒนาขีดความสามารถของครู รวมถึงอยากให้มีการสนับสนุนนโยบาย คืนครูสู่ห้องเรียน และนโยบาย ลดเวลาเรียน เพิ่มเวลาเรียนรู้ อย่างต่อเนื่อง เพราะนโยบายดังกล่าว หากมีการสานต่อไปเรื่อยๆ จะเป็นประโยชน์ต่อครูทั้งในเรื่องการเตรียมการสอน พัฒนาขีดความสามารถของครู ซึ่งถ้าครูมีความสามารถ สร้างสรรค์นวัตกรรมการสอน ก็จะนำไปสู่การสร้างคุณภาพให้แก่เด็ก

ด้าน ศ.ดร.สมพงษ์ จิตระดับ อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวว่า นโยบายคืนครูสู่ห้องเรียนที่มาจากการรับฟังเสียงสะท้อนจากครูผู้ปฎิบัติในพื้นที่โดยตรงทำให้แก้ปัญหาได้อย่างถูกจุด และสามารถคืนเวลาให้ครูกลับคืนสู่ห้องเรียนได้ 19 วัน ทำให้เห็นได้ว่านโยบายที่ดีต้องเป็นนโยบายจากล่างขึ้นบน ไม่ใช่จากบนลงล่าง เพราะวิธีการคิดเชิงนโยบายมีคุณภาพหรือด้อยคุณภาพ ข้อมูลที่มาจากครู เด็กจะทำให้เห็นถึงปัญหาและการแก้ไขปัญหาได้มากขึ้น ทั้งนี้ รัฐบาล อาจต้องจริงจังกับการยกเลิกการประเมินวิทยฐานะจากวัฒนธรรมเอกสารมาเน้นที่ผลสัมฤทธิ์ของของผู้เรียน รวมถึงการที่ครูสะท้อนถึงกิจกรรมอื่นๆ ที่มีทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วย เพราะดึงครูออกไปแข่งขันและเกิดประโยชน์กับผู้เรียนเฉพาะกลุ่มนั้น หากเป็นการทำกิจกรรมที่ส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนนอกห้องเรียนซึ่งสอดคล้องกับนโยบายลดเวลาเรียน เพิ่มเวลารู้ ก็จะเกิดผลกับเด็กทุกกลุ่ม ซึ่งเชื่อว่า หากการแก้ปัญหาที่มาจากการรับฟังผู้ปฎิบัติงานจริงเชื่อว่าใน 3-4 ปีข้างหน้า ผลการเรียนและกระบวนการเรียนรู้ของเด็กไทยจะดีขึ้น

นายอาคม สมพามา ครูสอนดี จ.ราชบุรี กล่าวว่า ปี 2558 การประเมินโรงเรียนไม่ได้ลดลงจากปี 2557 ซึ่งยังเป็น ประเมินตามรางวัลระดับชาติที่ครูและผู้บริหารโรงเรียนสามารถนำไปยื่นประกอบวิทยฐานะได้ ทำให้เป็นการสร้างภาระงานให้กับครู ดังนั้น ระบบการประเมินการศึกษา วิทยฐานะควรลดลง และควรประเมินครูโดยใช้ระบบนิเทศก์ติดตามครูอย่างเป็นระบบ อย่างไรก็ตาม นโยบายคืนครูสู่ห้องเรียน และได้ปลดล็อคให้ ก.ค.ศ.ยกเลิกการใช้การรับรองรางวัลซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการประเมินวิทยฐานะเมื่อปลายปีที่ผ่านมาโดยเปลี่ยนเป็นเน้นผลสัมฤทธิ์การเรียนรู้ของผู้เรียนแทนเชื่อว่าจะเกิดผลดีในการศึกษาอย่างแน่นอน

ดร.ไกรยศ ภัทราวาท ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์การศึกษา สสค. กล่าวว่า จากผลสำรวจการใช้เวลาของครู ในกลุ่มประเทศ องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา หรือ OECD (Organisation for Economic Co-operation and Development) ซึ่งจัดสอบโครงการประเมินผลนักเรียนร่วมกับนานาชาติ (Programme for International Student Assessment หรือ PISA) 50 ประเทศ ปี 2558 พบว่า เวลาที่ใช้ในการสอนของครูแต่ละประเทศมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 694 ชม.ต่อปี คิดเป็น 182 วัน โดยครูมีเวลาสอนจริงเฉลี่ย 50 % ซึ่งใกล้เคียงกับประเทศไทย ส่วนกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนโดยตรง เท่ากับ 6.5 ชม.ต่อสัปดาห์ คิดเป็น 34 % แบ่งเป็น เวลาในการเตรียมการสอน 20 ชม.ต่อสัปดาห์หรือ 4 ชม.ต่อวัน เวลาจัดการกับพฤติกรรมเด็ก 3.5 ชม.ต่อวัน และการนำไปพัฒนาตนเอง กิจกรรมอื่นๆ ทั้งนี้ หากกำหนดเป็นช่วงเวลาส่วนเวลาที่ครูในกลุ่ม OECD ไม่ได้ใช้ไปกับการเรียนการสอน ค่าเฉลี่ยอยู่ในช่วงระหว่าง 15-34 %ของเวลาครู อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ เวลาของครูไทยที่ไม่ได้ใช้ไปกับการเรียนการสอนอยู่ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยของประเทศในกลุ่ม OECD ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี แต่อยากให้อยู่ในช่วงค่าเฉลี่ยที่ต่ำสุด เพื่อให้ครูได้กลับมาใช้เวลากับเด็กในชั้นเรียน เพราะรางวัลที่ยิ่งใหญ่สำหรับครูที่แท้จริง ไม่ใช่โล่ห์รางวัล หรือกระดาษ แต่เป็นเวลาความสุขที่ครูได้อยู่กับเด็กในห้องเรียน ได้จัดการเรียนการสอนที่มีคุณภาพ ทุกวันนี้ครูและเด็กไทยมีความสุขมากเพียงใดกับการเรียนการสอนโดยไม่ต้องกังวลเรื่องเวลา ทั้งนี้ ทางOECD ได้มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบายไว้ว่า อยากให้มีการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำเวลาที่ครูต้องสอน และทำกิจกรรมนอกห้องเรียน มีระบบเฝ้าระวังและประเมินสถานการณ์ภาระการเรียนการสอนของครู และ ครูไทยต้องเป็นนักบริหารเวลา