'ส.ว.'หน้าที่"และ'ที่มา'

การร่างรัฐธรรมนูญมาถึงจุดที่เป็นปัญหาอีกครั้ง ก็คือเรื่องของที่มาส.ว. ที่ยังเห็นตรงกันไม่ได้
การร่างรัฐธรรมนูญคืบหน้ามาถึงจุดที่เคยเป็นปัญหาอีกครั้ง ซึ่งก็คือเรื่องของที่มา ส.ว. โดยในสมัยของกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญชุดที่มีนายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธานนั้น ถือได้ว่าเรื่อนี้เป็นเรื่องที่ไม่นิ่งที่สุด
โดยเริ่มตั้งแต่การให้กำหนดให้ ส.ว. มาจากการสรรหาทั้งหมด แต่ก็ได้รับทั้งเสียงทักท้วง และเสียงต่อต้าน จนสุดท้ายพวกเขาก็ต้องยอมถอยโดยให้ส.ว.ส่วนหนึ่งมาจากการเลือกตั้ง แต่ก็ไม่วายที่จะกำหนดผู้สมัครต้องผ่านการกลั่นกรองเสียก่อนจึงจะให้ประชาชนเลือกได้ และแน่นอนว่าวิธีคิดเช่นนนี้ก็ถูกถล่มยับเยินเช่นกันในข้อหาไม่ไว้วางใจประชาชน ทำให้พวกเขาต้องยอมถอยมาที่ยอมให้เลือกตั้งโดยไม่มีคณะกรรมการกลั่นกรอง แต่ก็มี ส.ส.กึ่งหนึ่งที่มาจากการสรรหา
พวกเขาเคยยอมรับว่าที่ออกมาพิกลพิการจนถูกไล่ถล่ม เพราะไม่ได้ต้องการให้เลือกตั้งแต่แรก และต้องการให้สรรหาทั้งหมด แต่เมื่ีอมีเสียงทักท้วงก็เลยต้องปรับ และเมื่อปรับจากแนวคิดแรกก็เลยทำให้สิ่งที่ออกมาค่อนข้างบิดเบี้ยว
ซึ่งที่สุดแล้วร่างรัฐธรรมนูญฉบับดังกล่าวก็เป็นได้แค่เพียง"ร่าง" มิอาจถูกประกาศใช้เป็น "รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย" และมีเสียงลืเสียงเล่าอ้างว่า เหตุผลหนึ่งที่สภาปฏิรูปแห่งชาติไม่มติคว่ำร่างก็เป็นเพราะแรงผลักดันของคนกลุ่มหนึ่งที่ต้องการให้ ส.ว. มากจากการสรรหาทั้งสิ้น โดยที่ไม่มีการแต่งตั้ง
อย่างไรก็ตามเป็นไปได้สูงว่ากรรมการ่างรัฐธรรมนูญจะตั้งหลักได้ที่เห็นควรให้ที่มาของ ส.ว.มีความสัมพันธ์อยู่กับอำนาจหน้าที่โดยเบื้องต้นพวกเขาได้พิจารณาในเรื่องของอำนาจหน้าที่ก่อน โดยเห็นว่าส.ว. ควรมีอำนาจเพียงการกลั่นกรองกฎหมายเท่านั้น แต่ไม่ควรมีอำนาจหน้าที่ในการถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ทั้งนี้มีผู้เสนอว่า การถอดถอนผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองนั้น ควรเป็นหน้าที่ขององค์กรเฉพาะที่มีความน่าเชื่อถือโดยอาจโอนให้เป็นอำนาจของศาล ส่วน ส.ว. นั้นถือเป็นองค์กรทางการเมืองที่หากจัดอำนาจให้ให้คุณให้โทษอาจจะไม่ได้รับความน่าเชื่อถือ
ดังนั้นเมื่อกำหนดอำนาจหน้าที่ได้ชัดเจนแล้ว เรื่องที่มาเราก็สามารถออกแบบได้ง่ายขึ้น หากกำหนดให้มีสภาพเป็นสภา "พี่เลี้ยง" ทำหน้าที่กลั่นกรองกฎหมาย แต่ไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จ เราอาจต้องการผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ไม่จำเป็นต้องมาจากการเลือกตั้ง เพราะเมื่อพวเขาไม่มีอำนาจที่จะชี้เป็นชี้ตายผู้ที่ได้รับความเห็นชอบจากประชาชน พวกเขาก็ไม่จำเป็นต้องหาฐานเชื่อมที่มาจากประชาชนสร้างความชอบธรรมในการลงโทษ
ดังนั้นการที่ ส.ว.จะมาจากการสรรหาทั้งสภาก็จึงไม่ใช่เรื่องที่จะถูกต่อต้าน หากมีหน้าที่เพียงเช่นนี้
กระนั้นก็ดีต้องตามดูให้ครบถ้วนกระบวนความด้วยว่า อำนาจอย่างอื่นของพวกเขามีอย่างอื่นอีกหรือไม่ หากยังมีอำนาจหน้าที่แต่งตั้งองค์กรที่มีหน้าที่ชี้เป็นชี้ตายทางการเมือง ก็ย่อมต้องการที่มาที่มีความชอบธรรมมากกว่าการสรรหา เพราะที่สุดแล้วแม้จะไม่ได้เป็นผู้ตัดสิน แต่การแต่งตั้งผู้ตัดสินเองก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน ดังนั้นการออกแบบอำนาจหน้าที่และที่มาจึงเป็นเรื่องที่ผูกพันและทับซ้อนกันอยู่ไม่น้อย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับบริบททางการเมิืองที่เปลี่ยนไป และการเรียกร้องจากกองค์กรทางการเมืองที่มีมิติมากยิ่งขึ้น







