ว่าด้วย 'องค์กรอิสระ'

ว่าด้วย “องค์กรอิสระ” แน่นอนว่าทำหน้าที่เป็นที่ประจักษ์ว่าสามารถเอาผิด"ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" ได้หลากหลาย
ถ้านับเวลาของการร่างรัฐธรรมนูญยุคใหม่ (2540 - 2550 - ?) เราจะเห็นสิ่งหนึ่งที่ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ทางการเมืองยุคหลังปฏิรูปการเมือง (2540) กล่าวคือมีการออกแบบองค์กรประเภทหนึ่งขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่ตรวจสอบ “นักการเมือง” โดยมีหลักคิดว่า ระบบแบบเดิม นั้นไม่สามารถเอาผิดนักการเมืองขี้โกงได้ จึงต้องออกแบบองค์กรที่มีลักษณะเฉพาะที่ไม่เป็นข้าราชการประจำ เนื่องจากจะได้ไม่อยู่ภายใต้อาณัติหรือการให้คุณให้โทษของนักการเมือง
รัฐธรรมนููญ 2540 เรียกองค์กรนี้ว่า"องค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ" ประกอบด้วย คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน , ศาลปกครอง , ศาลรัฐธรรมนูญ , คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ,กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ , ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา และ คณะกรรมการการเลือกตั้ง
แน่นอนว่าองค์กรเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นที่ประจักษ์ว่าสามารถเอาผิด"ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง" ได้หลากหลาย โดยเฉพาะ สามองค์กรที่เหมือนเป็นกองหน้าอย่าง "กกต. -ป.ป.ช. - ศาลรัฐธรรมนูญ" ที่แทบจะเป็นการเปิดมิติใหม่ มีบรรดานักการเมืองถูกลงโทษ ทั้งจากการแจกใบเหลืองใบแดงของ กกต. การเอาผิดผู้แจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ ของ ป.ป.ช. และ ศาลรัฐธรรมนูญ ยังมีคดีหลายๆอย่างในชั้นการพิจารณาของศาลรัฐธรรมนูญ
ซึ่งในสมัยนั้นการคัดคนเข้ามาเป็นกรรมการองค์กรอิสระจะใช้ระบบการสรรหา แต่จะมีสัดส่วนของนักการเมือง และนักวิชาการเข้ามาร่วม ซึ่งถือเป็นสัดส่วนจำนวนสูงมาก เช่นการสรรหา กกต. จะใช้ นักการเมือง 4 คน นักวิชาการ 4 คน อีกสองคนคือ ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และ ประธานศาลปกครอง ส่วนของ ป.ป.ช. จะมีกรรมการสรรหาประกอบด้วย ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธาน กกต. ประธานกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน ประธานกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ผู้ตรวจการแผ่นดินของรัฐสภา นักการเมือง 2 คน นักวิชาการ 6 คน ขณะที่ศาลรัฐธรรมนูญ จะใช้สัดส่วนกรรมการสรรหาประกอบด้วย ประธานศาลฎีกา นักวิชาการ 4 คน และนักการเมือง 4 คน
อย่างไรก็ตาม ต่อมามีข้อครหาว่ามีการแทรกแซงกระบวนการสรรหา ทำให้องค์กรอิสระทำงานไม่เป็นกลางและไม่มีประสิทธิภาพ จึงมีการบัญญัติใหม่ในรัฐธรรมนูญ 2550 ภายหลังการรัฐประหารปี 2549 ครั้งนั้นองค์กรที่ใช้ชื่อว่าองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญประกอบด้วย กกต. ,ผู้ตรวจการแผ่นดิน , ป.ป.ช. และ คณะกรรมการตรวจเงินแผ่นดิน นอกจากนี้ยังมีองค์กรตามรัฐธรรมนูญขั้นมาประกอบด้วย องค์กรอัยการ ,คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และ สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ส่วนศาลรัฐธรรมนูญและศาลปกครองนั้นอยู่ในหมวดของศาลอย่างชัดเจน
นอกจากนี้ ยังมีการแก้ปัญหาการแทรกแซงของการสรรหา โดยใช้สัดส่วนกรรมการสรรหาที่ลดบทบาทของนักการเมือว กล่าวคือในส่วนของ กกต. ใช้กรรมการสรรหา 7 คน ประกอบด้วย ประธานศาลฏีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร และบุคคลซึ่งที่ประชุมใหญ่ศาลฏีกา และที่ประชุมใหญ่ตุลาการในศาลปกครองสูงสุดคัดเลือกมาฝ่ายละหนึ่งคน ส่วน ป.ป.ช. แใช้ กรรมการสรรหา 5 คน ประกอบด้วยประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานสภาผู้แทนราษฎร และผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทน ฯ
ขณะที่ร่าง ฉบับใหม่คาดว่าจะใช้ชื่อว่า “องค์กรตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ” และใช้ระบบกรรมการสรรหาเช่นเดิม แต่ฉบับที่ทำออกมานั้นยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนว่ากรรมการสรรหาจะมีรูปแบบอย่างไรออกแบบมาอย่างไร จะเป็นการแก้ปัญหาให้ลุล่วง หรือเป็นการแก้ปัญหาด้วยปัญหาใหม่หรือไม่ต้องรอดูกัน




