'อดุลย์'ชี้อีก13ปีโครงสร้างคนสูงอายุมี 16 ล้านคน

"พล.ต.อ.อดุลย์"ระบุโครงสร้างคนสูงอายุอีก 13 ปี จะอยู่ที่ประมาณ 16 ล้านคน สัดส่วนเป็น 1 ใน 4 ของประชากรทั้งหมด
พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ"ชั่วโมงที่ 26" ถึงสังคมผู้สุงอายุที่จะเกิดขึ้นในอนาคตว่า โดยหลักเกณฑ์คนอายุ 60 ปี ถือเป็นคนสูงอายุ ซึ่งตัวเลของประชากรประมาณ 10 ล้านคน ทั้งนี้ จากโครงสร้างอีก 13 ปี หรือกลางปี 2570 จะอยู่ที่ประมาณ 16 ล้านคน ถือว่าเป็น 1 ใน 4 ประชากร ดังนั้นโครงสร้างจะเปลี่ยนไป โดยผู้สูงอายุจะอยู่เป็นแท่งขึ้นมา ส่วนที่เล็กลงไปคือวัยแรงงาน และวัยเด็กจะหายไป จากข้อมูลสตรี จะมีอายุยืนมากกว่าผู้ชาย ทั้งนี้รัฐบาลมียุทธศาสตร์ในการขับเคลื่อนเกี่ยวกับศูนย์สุขภาพ หรือ การให้ผู้สูงอายุมีงานทำ
เมื่อถามว่า คำจำกัดความของสหประชาชาตินอกจากคำว่าสังคมผู้สูงอายุ ที่ประเทศไทยมีอยู่แล้วคือมีประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปหรือ 10 เปอร์เซ็นต์จากประชากรทั้่งหมด และยังมีขั้นตอนอีก 2 ขั้น หากประชากรผู้สูงอายุถึงร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด ที่ประเทศไทยคาดว่าจะเกิดขึ้นประมาณ 2564 หรือ ประมาณ 6 ปี จะเรียกว่าสังคมผู้สูงอายุ และ สังคมผู้สูงอายุระดับสุดยอด หรือ super aging society จะเป็นสังคมที่มีผู้สุงอายุร้อยละ 30
พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวว่า จากการขับเคลื่อนจะต้องดูว่า คนเราอายุยืนยันที่มีคุณภาพ คือมีสุขภาพดี และมีสติปัญญา หรือการขยายเวลาการขยายเกษียณออกไป แต่โดยหลักการได้ทำแล้วประมาณ 65-70 ซึ่งก็มีการมาทำงานต่อ สำหรับผู้ที่มีอาชีพที่ทำ ทั้งอาจารย์ แพทย์ และ เทคนิค และช่างศิลป์ ก็จะสามารถทำงานต่อไป
เมื่อถามว่า ถึงจุดที่จะต้องเสนอให้ข้าราชการเสนอเกษียณอายุราชการเกิน 60 ปีหรือไม่
พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวว่า เรื่องนี้จะต้องมีการพิจารณา เพราะบางทีอายุเป็นเพียงตัวเลข ซึ่งเรื่องนี้ได้มีการวิจัยแล้ว ซึ่งคนที่ทำงานถนัดหลังเกษียณอายุราชการจะทำให้อายุยืน โดยเราได้เก็บสถิติในภาคสนาม โดยสังคมที่อายุยืนมาจากสังคมที่อบอุ่นมีการเกื้อกูลกัน และครอบครัวที่ดี บางทีไปออกกำลัง ปั่นสามล้อแจกของชาวบ้าน รำไทยเก๊ก จะทำให้อายุยืน โดยอายุ 80-90 ปีมีมาก ซึ่งยิ่งทำงานก็ยิ่งมีคุณภาพ ซึ่งเราจะต้องให้ความรู้กับสังคมมากยิ่งขึ้น
้เมื่อถามว่า ผู้สูงอายุจะฝากความหวังไว้ได้แค่ไหนกับรัฐบาลในการดูแล
พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวว่า รัฐบาลให้ความสำคัญในเรื่องนี้ โดยมีคณะกรรมการขับเคลื่อน โดยนายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้ นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในการขับเคลื่อน รวมถึงสมัชชาระดับชาติในการรับฟังข้อคิดเห็น เพื่อมาปรับแผน โดยเราเน้นไปยังท้องถิ่นชุมชน เรามีศูนย์ดูแลผู้สูงอายุ 878 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งเราพยายามสร้างท้องถิ่นให้มาสร้างระบบดูแลกันเอง และเราจะมีการฝึกอบรมอาสามัครในชุมนุมอีก 8 หมื่นกว่าคนที่มาดูแลผู้สูงอายุเพื่อขับเคลื่อนในระบบของชาติไปยังท้องถิ่น
เมื่อถามว่า ในปี 2578 ซึ่งจะเป็นปีที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุแบบสุดยอด ท่านมองว่าหน้าตาจะเป็นอย่างไร
พล.ต.อ.อดุลย์ กล่าวว่า คงเป็นสังคมที่มีผู้สูงอายุเยอะ ดังนั้นกลไกหรือแรงงานก็จะน้อยลง ซึ่งการปรับตัวของทุกภาคส่วนจะมีความสำคัญ หรือมีเทคโนโลยีเข้ามาเพิ่มเติม หรือ หลักประกันมั่นคงในเรื่องสุขภาพ อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะเข้าสู่วัยผู้่สูงอายุ เราจะต้องดูแลสุขภาพ และอยู่อย่างมีสุขภาพดี และจะต้องสร้างตัวเองให้มีคุณภาพในการทำงานเพื่อให้เกิดการยอมรับเพื่อสามารถทำงานต่อไปได้ แต่ที่สำคัญคือในเรื่องของการออม การใช้จ่าย เพื่อจะต้องได้ใช้จ่ายเงินหลังเกษียณอย่างพอใช้ สุดท้ายแล้วจะต้องช่วยตัวเองคือไม่หวังพึ่งคนอื่น แต่จะต้องพึ่งจากตัวเองให้มากที่สุด
ด้านนายอนุสันต์ เทียนทอง อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ กล่าวว่า ประชากร 10 เปอร์เซ็นต์ ที่อยู่เอ็นกำหนดถือเป็นสัดส่วนในจำนวนประชากรทั้้งประเทศ เราเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุตั้่งแต่ปี 2548 และปีที่แล้ว จากตัวเลขของกรมการปกครองมีประมาณ 14 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอัตราการเกิดใหม่ของเด็กเริ่มลดลง จากเดิมที่ประเทศไทยเป็นแทงปิรามิด ที่จากเดิมมีผู้สูงอายุอยํู่ข้างบนน้อย แต่ปัจจุบันเปลี่ยนไปนั้น เด็กที่จะเกิดใหม่อยู่ที่ประมาณไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ เมื่อเปรียบเทียบกับสมัยก่อนอยู่ที่ 2 เปอร์เซ็นต์กว่า และปัจุบันครอบครัวก็เล็กลง ซึ่งจากเดิมไซร์ขนาดของครอบครัวอยู่ที่ประมาณ 4.1 เปอร์เซ็นต์ แต่ปัจจุบันเหลือประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์กว่า โดยคนส่วนใหญ่จะไม่มีลูก และจะอยู่คนเดียวลำพัง ซึ่งขนาดตรงนี้จะทำให้เด็กเกิดน้อย วัยแรงงานที่จะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุจะสูงขึ้น ฉะนั้นประชากรผู้สูงอายุจะสูงขึ้นเพิ่มขึ้นทุกปี ดังนั้นต่อไปวัยแรงงานจะต้องแบกภาระกับผู้สุงอายุต่อไป
ุถามว่า ผู้สูงอายุอาจจะเป็นเพียงแค่คำนิยามที่เป็นทางการ แต่จะทำอย่างไรให้คนกลุ่มนี้อยู่ในสังคมให้มีประสิทธิภาพ นายอนุสันต์ กล่าวว่า นิยามของ พรบ.ผู้สูงอายุ คือ 60 ปีขึ้นไป เพราะว่าเราใช้เกณฑ์อายุนี้มานานแล้ว ซึ่งปัญหาสำคัญของผู้สูงอายุคือหลักสุขภาพอนามัย รายได้ สิ่งแวดล้อม และ ด้านสังคมที่กำลังทำอยู่ ซึ่งถือเป็นแผนงาน หรือยุทธศาสตร์ที่เราจะต้องรีบทำเพื่อที่จะให้สังคมตระหนัก และก้าวสุ่สังคมผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพ ส่วนระยะยาว จะมีแผนรองรับเกี่ยวกับยุทธศาสตร์ที่เกี่ยวกับทางกระทรวงต่าง ๆ ทั้งกระทรวงมหาดไทย กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงแรงงาน เพื่อให้มีรายได้ และมีงานทำ เพราะรายได้ถือเป็นประเด็นหลัก ว่าจะทำอย่างไรให้ผู้สุงอายุได้มีโอกาสทำงานอย่างต่อเนื่องภาคเอกชนบางทีมีการเกษียณอายุ 55 ปี ซึ่งจุดตรงนี้ภาคเอกชนที่จะมีการขยายอายุ หรือเพิ่มโอกาสให้มีงานทำ ทางภาคราชการจะต้องมีการส่งเสริมในเรื่องของการจูงใจ ทั้งการลดหย่อนภาษีให้กับผู้ที่เอาบิดามารดามาเลี้ยงดูในครอบครัว
เมื่อถามว่า ญี่ปุ่นจะเป็นประเทศที่นึกถึงเสมอ เนื่องจากก้าวเข้าสู่ความเป็นสังคมผู้สูงอายุก่อนในประเทศในแถบนี้ ส่วนสิงคโปร์ก็เข้าข่ายแล้ว เราจะเรียนรู้รูปแบบการจัดการกับ 2 ประเทศนี้อย่างไรบ้าง นายอนุสันต์ กล่าวว่า ประเทศญีปุ่นเป็นสังคมผู้สูงอายุก่อนหน้าประเทศไทย แต่ว่าระบบเศรษฐกิจดี ดังนั้นระบบของการเข้าถึงหลักประกันรายได้มีความเข้มแข็ง ญี่ปุ่นมีทั้งภาคเกษตร และ ภาคอุตสาหกรรม ซึ่งคนทั้งสองกลุ่มสามารถที่จะเข้าหลักประกันรายได้ เหมือนกับหลักประกันสังคมเพื่อที่จะรองรับไว้ในอนาคตหลังเกษียณอายุราชการ ฉะนั้นคนเหล่านี้ในประชากรของญี่ปุ่นไม่ต้องห่วงเลย เมื่อเกษียณอายุแล้วจะมีเงินตรงนี้เป็นค่าใช้จ่าย ขณะที่ประเทศสิงคโปร์ ไม่มีพื้นทีเ่กษตรกรรมมีแต่เกาะ
ส่วนใหญ่เป็นอุตสาหกรรม ซึ่งส่วนใหญ่ที่เป็นวัยแรงงานก็เข้าสู่ระบบโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งโรงงานอุตสาหกรรมก็มีหลักประกันในเรื่องประกันสังคม เป็นลักษณะออมเอาไว้ใช้จ่ายในยามเกษียณอายุ คือเป็นคนรวยก่อนที่จะเข้าสู่ผู้สูงอายุ แต่ประเทศไทยมีชาวไร่ชาวนาที่ประกอบอาชีพอิสระ และมีคนที่ยากจนจำนวนมาก ดังนั้นการเข้าถึงหลักประกันรายได้ ถ้าเป็นข้าราชการอาจจะมีการเรื่องบำเหน็จ บำนาญ หรือ มีกองทุนบำเหน็จ หรือในระบบธุรกิจก็อาจจะมีเรื่องประกันสังคม แต่คนส่วนใหญ่ก็ยังทำไร่ ทำนา อยู่ ดังนั้นเมื่อเกษียณอายุก็จะมีอยู่แค่เบี้ยยังชีพผู้สูงอายุที่จ่ายให้ตามขั้นบันได
เมื่อถามว่า ประเทศไทยมีความท้าทายในเรื่องช่องว่างในการดูแลผู้สุงอายุในชนบทกับในเมือง ซึ่งช่องว่างดังกล่าว จะทำให้ลดลงได้อย่างไร นายอนุสันต์ กล่าวว่า รูปแบบที่จะคล้ายกัน คือรูปแบบในลักษณะของครอบครัวระหว่างชนบทกับในเมือง คือขนาดเริ่มเล็กลง คนเริ่มอยู่ตามลำพัง และบางทีมีคู่แล้วไม่มีลูก และในต่างจังหวัดก็เช่นเดียวกัน ผู้สูงอายุก็จะอยู่คนเดียวเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนี้บางครั้งก็มีการบุตรหลานมาให้บิดามารดาเลี้ยงดู ซึ่งจะทำให้เป็นภาระในเรื่องรายได้ หรือความแตกต่างของผู้สูงอายุในสังคมไทยในชนบทอาจจะอยู่ในบริบทชุมชน ส่วนในเมืองอยู่ในสภาวะทางด้านสังคมต่างกัน
เมื่อถามว่า ในประเทศญี่ปุ่นผู้สูงอายุได้กลายเป็นแหล่งทำรายได้ให้กับธุรกิจมาก ประเทศไทยถึงจุดที่รัฐบาลมีนโยบายในการส่งเสริมมุ่งที่จะขยายธุรกิจมาดูแลผู้สูงอายุได้มากขึ้นหรือไม่ นายอนุสันต์ กล่าวว่า การที่จะก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุทั้งภาคราชการ หรือภาคธุรกิจจะต้องตระหนักว่า เรากำลังจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งผู้สูงอายุต้องการอะไร โดยปัญหาสำคัญคือเรื่องสุขภาพ ฉะนั้นธุรกิจจะต้องคิดต่อว่าธุรกิจที่จะรองรับของสุขภาพร่างกาย แม้แต่ในเรื่องของอุปกรณ์ที่จะต้องใช้ ทั้งเก้าอี้ โต๊ะเข็น หรือ หูฟัง รวมถึงเครื่องมือการแพทย์ ที่เป็นการช่วยเหลือทางด้านกายภาพ หรือแม้แต่อาหาร หรือเรื่องสุขภาพในการบำรุง หรือ เครื่องออกกำลัง ซึ่งเป็นเรื่องที่ท้าทายเหมือนกับว่าปฏิเสธไม่ได้ว่าเป็นสังคมผู้สูงอายุ
"ผู้สูงอายุจะต้องเรียนรู้อยู่ตลอดชีวิต ระบบการศึกษาจะต้องปรับตัว ทั้งระบบการศึกษานอกระบบจะทำอย่างไรให้ผู้่สูงอายุไม่มีโอกาสได้เรียนในเวลาปกติ ได้เข้าไปสู่ระบบนี้ เรื่องระบบไอที การขนส่งคมนาคม ซึ่งขณะนี้ก็ทำอยู่ในกระทรวงที่ส่งเสริมให้กับผู้พิการ ซึ่งผู้พิการกับผู้สูงอายุลักษณะคล้าย ๆ กันคือจะต้องใช้ทางลาด ใช้อุปกรณ์ หรือในบ้านเรือนที่จะต้องมีการปรับสภาพที่อยู่อาศัย ส่วนเรื่องทางสังคมจะทำอย่างไรให้ผู้สูงอายุออกมาสู่สังคม แทนที่จะติดบ้านออกมาติดสังคม ได้เข้ามาแลกเปลี่ยนเชื้่อมโยงเร่ียนรู้ ทั้งนี้ภาคเอกชน และราชการ จะต้องขยายเวลาการทำงานออกไป จะหวังพึ่งพาแรงงานเพื่อนบ้านคงไมไ่ด้ น่าจะเป็นโอกาสที่จะให้กับผู้สูงอายุที่ยังมีความสามารถ และเชี่ยวชาญ ทั้งนี้ในส่วนของสังคมจะต้องเอื้ออาธร โดยเฉพาะครอบครัวชุมชนจะต้องเข้ามามีส่วนร่วม รวมถึงท้องถิ่นที่จะต้องเข้ามาดูแลในเรื่องของการที่จะทำอย่างไรในการรองรับสังคมผู้สูงอายุ หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่จะต้องเป็นสาธารณประโยชน์ ก็มีศูนย์ชมรม หรือศูนย์พัฒนาคุณภาพชีวิตมีความพร้อมแค่ไหน"นายอนุสันต์
นายอนุสันต์ กล่าวว่า เรื่องการเรียนการสอนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ ทางเด็กจะต้องเน้นในเรื่องของความกตัญญูกตเวที หรือการตอบแทนพระคุณบิดามารดา หรือ ความเสียสละ ในเรื่องจิตอาสา ในการดูแลผู้สูงอายุในชุมนุม และวินัยในเรื่องการออม หากมาออมในอายุ 58-59 ปี คงไม่ทัน ซึ่งพรบ.การออมแห่งชาติจะเปิดรับสมัครในวันที่ 20 ส.ค.นี้ ซึ่งถือเป็นนโยบายรัฐบาลที่ขับเคลื่อน โดยผ่านคณะกรรมการผู้สุงอายุแห่งชาติในการผลักดัน ทั้่งนี้กรมกิจการผู้่สูงอายุ เป็นนโยบายของ พล.ต.อ.อดุลย์ ที่ให้ความสำคัญกับเรื่องผู้สูงอายุ และเป็นกรมใหม่ที่ประกาศในราชกฤษจา และมีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 6 มิ.ยง2558 ที่ผ่านมา
ทั้งนี้เราจะต้องเตรียมการผู้สูงอายุ การเข้าสู่สังคมผู้สุงอายุอย่างมีคุณภาพ และที่สำคัญเราจะต้องเปลี่ยนจากภาระให้เป็นพลังให้ได้ ผู้สูงอายุจะต้องเป็นพลังของสังคม และพัฒนาสังคม รวมถึงคลังปัญญาผู้สุงอายุ หรือ ธนาคารคลังปัญญาจะเป็นส่วนสำคัญให้ความรู้และถ่ายทอดภูมิปัญญาที่ทางกระทรวงส่งเสริมอยู่ และไมไ่ด้มาลงทะเบียน ซึ่งตรงจุดนี้จะเปลี่ยนไม่ให้เป็นภาระแต่จะกระตุ้นให้เป็นพลังให้ได้







