'สะมะแอ ท่าน้ำ'เผยแกนนำผู้เห็นต่างส่งสัญญาณร่วมเจรจา

แกนนำพูโล“หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ”มั่นใจเดินหน้าเจรจากลุ่มผู้เห็นต่างหนทางดับไฟใต้ หลังได้คืนอิสรภาพมีกลุ่มแกนคนสำคัญส่งสัญญาณร่วมโต๊ะเจรจา
วันนี้ (22 ก.ค.)ความคืบหน้าภายหลังนายมะแอ สะอะ หรือ หะยีสะมะแอ ท่าน้ำ อดีตแกนนำองค์การปลดปล่อยสหปาตานีหรือขบวนการพูโลที่ถูกศาลพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตข้อหากบฏ ได้รับอิสรภาพจากการพักโทษและถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำกลางยะลาเมื่อวันที่ 17 ก.ค.ที่ผ่านมา ทำให้บรรยากาศที่บ้านเลขที่153 บ้านท่าน้ำ หมู่ที่ 2 ต.ท่าน้ำ อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี ซึ่งเป็นบ้านนายหะยีสะมะแอมีความคึกคักตลอดทั้งวัน โดยมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลความปลอดภัยอยู่เป็นระยะ เนื่องจากยังมีบุคคลสำคัญทั้งจากหน่วยงานราชการทั้งไทยและมาเลเซีย รวมถึงญาติพี่น้องที่ทราบข่าวการพักโทษเดินทางเข้าเยี่ยมอย่างต่อเนื่อง
ล่าสุดพ.ต.อ.ปัญญวัฒน์ เพชรชุม ผกก.สภ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี เดินทางมาเยี่ยมให้กำลังใจพร้อมหารือในการสร้างความร่วมมือในการร่วมกันพัฒนาชุมชนพื้นที่ ท่ามกลางบรรยากาศที่อบอุ่น โดยมีภรรยาและลูกอีก6คนคอยดูแลให้การต้อนรับ
นายหะยีสะมะแอ เปิดเผยว่า หลังจากได้อิสรภาพสามารถออกมาใช้ชีวิตตามปกติหลังจากที่ต้องตกเป็นนักโทษการเมืองข้อหากบฎนาน 18 ปี วันนี้พร้อมที่จะให้ความร่วมมือกับรัฐบาลในการประสานงานการเจรจาสันติภาพกับกลุ่มผู้เห็นต่างด้วยความเต็มใจ แม้รัฐบาลจะไม่ได้มอบหมายหรือให้บทบาทในการทำงาน แต่ในฐานะคนในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้อยากเห็นบ้านเมืองมีความสันติสุขที่แท้จริง
“สิ่งแรกที่อยากทำคือการสร้างงานสร้างอาชีพให้ชุมชน ซึ่งเบื้องต้นได้หารือศอ.บต.เพื่อร่วมกันเดินหน้าอุตสาหกรรมฮาลาลที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ให้เป็นรูปธรรมเพื่อให้ชาวบ้านมีงานทำ มีรายได้เลี้ยงตัวเองหลุดพ้นจากความยากจน”
นายหะยีสะมะแอ ยังบอกอีกว่า ในช่วงสะมะแอที่อยู่ในเรือนจำได้ร่างโครงสร้างหรือโมเดลในการสร้างแผนสันติสุขที่ยึดตามพระราชดำรัส “ในหลวง” ภายใต้หลัก “เข้าใจ เข้าถึง และพัฒนา”ไว้บ้างแล้ว ซึ่งจะใช้โอกาสนี้นำเสนอกับหน่วยงานภาครัฐให้เกิดความชัดเจน ประเด็นไหนทำได้ก็เดินหน้าทำเลย แต่หากสิ่งไหนที่ติดขัดก็ค่อยหารือกันในภายหลังเพราะยึดหลักการการพูดคุยกันในการสร้างความร่วมมือทั้งในด้านการพัฒนาพื้นที่ รวมถึงการหารือเพื่อนำไปสู่การพูดคุยหรือเจรจาสันติภาพที่โดยส่วนตัวเห็นด้วยเพราะเป็นวิถีที่ทั่วโลกทำเพื่อยุติความขัดแย้ง
“เราเคยพูดเรื่องเจรจามาหลายครั้งแต่ที่ไม่เป็นผล ส่วนหนึ่งเพราะความไม่ต่อเนื่องทำให้เกิดความไม่มั่นใจขึ้นระหว่างตัวแทนรัฐที่เป็นคณะเจรจาและตัวแทนผู้เห็นต่างผลลัพท์ที่ออกมาจึงไม่สำเร็จ แต่วันนี้ที่มีโอกาสได้อิสรภาพก็พร้อมจะเป็นตัวเชื่อมให้เกิดความมั่นใจอย่างน้อยๆก็ยืนยันได้ว่าการที่ได้รีบการปล่อยตัวครั้งนี้เป็นมิติที่ดีที่น่าจะให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจกันมากขึ้น”
อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ในช่วงที่เกิดปัญหาความไม่สงบเมื่อครั้งที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในสมัยนั้น เคยได้เขียนจดหมายเพื่อเสนอแนวทางแก้ปัญหาความไม่สงบ ด้วยให้การพูดคุยกัน ซึ่งตอนนั้นรัฐบาลเองก็ตอบรับและมีการส่งตัวแทนไปหารือกันที่มาเลเซีย โดยเฉพาะในการติดต่อกับดร.วันกาเดร์ เจ๊ะมัน อดีตประธานกลุ่มเบอร์ซาตู ซึ่งเป็นองค์กรร่วมของขบวนการต่อสู้เพื่อเอกราชปาตานี แต่ครั้งนั้นถูกปฏิเสธเพราะเป็นเรื่องใหม่และที่สำคัญยังไม่ไว้วางใจฝ่ายรัฐบาลไทย ส่วนหนึ่งเพราะในช่วงนั้นแม้แต่ตนเองซึ่งพร้อมให้ความร่วมมือก็ยังถูกจับกุมจึงไม่มีการตอบรับ
“ยอมรับว่าหลังจากได้อิสรภาพมีเพื่อนร่วมขบวนการในยุคก่อนติดต่อแสดงความยินดี ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันได้ว่าน่าจะเป็นมิติที่ดีในการแก้ไขปัญหาความไม่สงบภายใต้การเจรจา”
นายหะยีสะมะแอ ยังบอกอีกว่า ในการเดินหน้าพูดคุยเจรจาสิ่งสำคัญรัฐต้องสร้างความมั่นใจให้กับผู้เห็นต่างด้วย เช่น การให้ความสำคัญกับข้อเสนอของฝ่ายผู้เห็นต่างอย่างน้อย 3 ข้อที่มีการหารือกันรอบล่าสุดวันที่ 8 มิ.ย.58ที่ผ่านมา คือ 1.รัฐรับรองความปลอดภัยให้กับคณะพูดคุยสันติภาพของฝ่ายขบวนการ ไม่ใช่คุยเสร็จแล้วตามจับทีหลัง 2. การพูดคุยเพื่อสันติภาพต้องเป็นวาระแห่งชาติ และ 3. รัฐบาลต้องรับรองสถานะของสภาชูรอแห่งปาตานี







