จ่อออกหมายจับผู้ต้องหาคดี'โรฮิงญา'อีก 20 คน

รอง ผบ.ตร. เผยจ่อออกหมายจับผู้ต้องหาคดี"โรฮิงญา”อีก 20 คน ขณะที่ระนองระดมกำลังตรวจเกาะกลางทะเลอันดามัน หาเบาะแสแหล่งพักพิงโรฮิงญา
พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์พิทักษ์เด็ก เยาวชน และสตรี และปราบปรามการค้ามนุษย์ เปิดเผยว่า คดีค้ามนุษย์โรฮีนจานั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมที่จะออกหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการค้ามนุษย์ เพิ่มอีก 20 คน จากที่ก่อนหน้านี้ ออกหมายจับไปก่อนแล้ว 29 คน
ขณะเดียวกัน ในช่วงเช้าวันนี้ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเตรียมที่จะลงพื้นที่เขตปาดังเบซาร์ เพื่อตรวจสอบหาเบาะแสและหลักฐานเพื่อขยายผลในส่วนของคดีอย่างต่อเนื่อง ส่วนความคืบหน้าภายหลัง นายบรรณจง ปองผล หรือ โกจง นายกเทศมนตรีเมืองปาดังเบซาร์ ผู้ที่มีความเกี่ยวข้องและเป็นตัวการสำคัญ ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการสอบสวนของเจ้าหน้าที่ โดยยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียด
ระดมกำลังตรวจเกาะกลางทะเลอันดามัน หาเบาะแสแหล่งพักพิงโรฮิงญา
นายสุริยันต์ กาญขนศิลป์ ผู้ว่าราชการจังหวัดระนอง ในฐานะผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในจังหวัดระนอง เปิดเผยว่า ทางจังหวัดระนอง ,กอรมน.ภาค 4 สย.1 และหน่วยงานภาครัฐและเอกชน รวมถึงชุมชนในจังหวัดระองรวม 17 หน่วยงาน ได้ร่วมวางมาตรการการดำเนินงานป้องกันแก้ไขปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองทางทะเล หรือกลุ่มชาวโรฮิงญา โดยได้มีการระดมกำลังจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอาทิทหาร,ตำรวจ,เจ้าหน้าที่อุทยานฯ,เจ้าหน้าที่ป่าไม้,จนท.ฝ่ายปกครอง,อส., จนท.เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า,กำนัน,ผู้ใหญ่บ้าน,ทหารเรือ,ตำรวจน้ำ,ชุด ชรบ.หมู่บ้าน ออกร่วมลาดตระเวนในทะเลอันดามันตลอดแนวชายแดนด้านจังหวัดระนองรวม 169 กม.เพื่อเฝ้าระวังการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองชาวโรฮิงญา รวมทั้งการเข้าตรวจสอบบนพื้นที่เกาะร้างกลางทะเลอันดามันแนวรอยต่อชายแดนไทย-พม่าด้าน จ.ระนอง-เกาะสอง ที่มีการระบุว่าเคยเป็นแหล่งพักพิงชาวโรอิงญาก่อนขึ้นฝั่ง
ซึ่งผลจากการตรวจสอบเกาะต้องสงสัยรวม 5 เกาะประกอบด้วยเกาะญี่ปุ่น,เกาะกำ,เกาะค้างคาว,เกาะผี,เกาะนพเกตุ ไม่พบหลักฐานว่าเคยเป็นแหล่งพักพิง ส่วนผลการลาดตระเวนและตรวจสอบพื้นที่ป่า,พื้นที่อุทยานฯก็ไม่พบว่ามีชาวโรฮินจาหลบซ่อนตัวหรือใช้เป็นสถานที่หลบซ่อนตัว แต่เพื่อความไม่ประมาททางจังหวัดได้สั่งให้ทุกหน่วยงานจัดกำลังลาดตระเวนและตรวจสอบอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันการลักลอบเข้าเมืองโดยผิดกฏหมายทั้งแรงงานต่างด้าวและชาวโรฮินจา ทั้งยังได้คาดโทษห้ามไม่ให้ จนท.เข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยเด็ดขาดหากพบจะดำเนินการทางวินัยโดยทันที
ปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองทางทะเลในประเทศไทย เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นในพื้นที่ชายฝั่งทะเลอันดามันมานานนับสิบปี โดยมีการหลบหนีเข้าเมืองด้านจ.ระนอง ครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2541 จำนวน 104 คน หลังจากนั้นก็มีการหลบหนีเข้าเมืองเพิ่มขึ้นทุกปี ในห้วงมรสุมสงบประมาณเดือน พ.ย.-เม.ย. โดยจะใช้เรือประมงเก่า เป็นพาหนะ เดินทางจากรัฐยะไข่ซึ่งอยู่ตอนเหนือของพม่า หรือตอนใต้ของบังกลาเทศถึงประเทศไทยระยะทางประมาณ 780 ไมล์ ใช้เวลาประมาณ 15 วัน
ส่วนสถานการณ์ในปีนี้คาดว่าจะยังมีชาวโรฮิงญาอีกจำนวนมาก ที่ยังคงพยายามหาช่องทางที่จะเดินทางมายังประเทศไทย โดยเฉพาะการเข้ามาทางด้านจังหวัดระนองและใกล้เคียง เนื่องจากไม่สามารถทนต่อความอดอยาก และทุกยากในถิ่นที่อยู่เดิมได้อันเป็นผลมาจากการไม่ยอมรับการเป็นพลเมืองของประเทศต้นทาง โดยมีนายหน้าขบวนการค้ามนุษย์ฝั่งไทยคอยให้การช่วยเหลือ ดังนั้นรูปแบบการสกัดกั้นจะต้องสกัดกั้นทั้งสองทางคือทั้งทางทะเล และบนบก
สำหรับแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมืองทางทะเล โดยเฉพาะกลุ่มโรฮินจา ทาง สมช.ได้มอบหมายให้ กอ.รมน. เป็นหน่วยงานหลักในการแก้ไขปัญหาด้วยวิธีบูรณาการและประสานการปฏิบัติ โดยแนวทางและมาตรการรับมือการทะลักเข้ามาของชาวโรฮิงญาในปีนี้ได้กำหนดเป็น 2 ขั้นตอนคือขั้นตอนการเตรียมการประกอบด้วย จัดประชุมส่วนราชการที่เกี่ยวข้องเพื่อบูรณาการและประสานแผนการปฏิบัติ โดยยึดหลักปฏิบัติตามแผนพิทักษ์อันดามัน1 และแนวทางปฏิบัติต่อผู้หลบหนีเข้าเมืองทางทะเล เป็นเครื่องมือในการปฏิบัติ และประยุกต์ใช้ให้มีผลในทางปฏิบัติจริง
ฝึกจัดตั้งและทบทวนกำลังประชาชน เพื่อเป็นเจ้าหน้าที่ช่วยเหลือในการรายงานข่าวสาร และเสริมสร้างอุดมการณ์ความรักชาติ โดยขณะนี้มีกำลังประชาชนที่ได้รับการฝึกแล้วรวม 400 คน กระจายตามพื้นที่ชายฝั่งทะเลของ จ.ระนอง และเกาะแก่งต่างๆ ,จัดตั้งแหล่งข่าวประมงน้ำลึก ซึ่งทำการประมงในน่านน้ำสากล ทำให้สามารถรับรู้ข่าวสารการเดินทางของผู้หลบหนีเข้าเมืองทางทะเล หรือชาวโรฮิงญาได้ตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง,ติดตั้งวิทยุสื่อสารประจำเกาะต่างๆ ให้กำลังประชาชนสามารถรายงานข่าวสารการหลบหนีเข้าเมืองได้อย่างรวดเร็ว,จัดหาเรือเร็ว 2 ลำ เพื่อลาดตระเวนน่านน้ำ
สำหรับขั้นการปฏิบัติ เริ่มจากการสกัดกั้นและปฏิเสธการเข้าเมืองทันที โดยได้กำหนดแนวสกัดกั้นตามเส้นทางการหลบหนีเข้าเมืองทางทะเล ตั้งแต่แนวเกาะตาครุฑ,เกาะสินไห,เกาะช้าง,เกาะพยาม,เกาะค้างคาว ซึ่งเป็นเส้นทางหลบหนีเข้าเมืองทางทะเล โดยพยายามใช้วิธีชักจูง โน้มน้าวมิให้ขึ้นฝั่ง และสนับสนุนเสบียง อาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค น้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อให้เดินทางต่อไปยังประเทศที่สาม,การควบคุมตรวจสอบ เพื่อสืบหาและดำเนินคดีตามกฎหมายต่อขบวนการนำพา,การปฏิเสธการเข้าเมือง ด้วยการอำนวยความสะดวกในการเดินทาง จัดหาเสบียง อาหาร น้ำดื่ม ยารักษาโรค เชื้อเพลิง และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ เท่าที่จำเป็น เพื่อให้ผู้หลบหนีเข้าเมืองเดินทางต่อไปได้อย่างน้อย 15-20 วัน







