รายการทีวี-โฆษณาเน็ต เนื้อหาทำร้ายเด็กเกลื่อนจอ

รายการทีวี-โฆษณาเน็ต เนื้อหาทำร้ายเด็กเกลื่อนจอ

(รายงาน) รายการทีวี-โฆษณาเน็ต เนื้อหาทำร้ายเด็กเกลื่อนจอ

ผลกระทบหรืออิทธิพลในเชิงลบจาก “สื่อใหม่” หรือ นิวมีเดีย ที่มีต่อเด็กและเยาวชนนั้นเป็นประเด็นปัญหาที่สังคมรับรู้ และพยายามปรับปรุงแก้ไขมาเนิ่นนาน แต่ก็ยังไม่เกิดผลเป็นรูปธรรม


ล่าสุดได้มีการทำการศึกษาผลกระทบของสื่อต่อเด็กและเยาวชน โดยทำการศึกษา “รายการโทรทัศน์” และ “โฆษณาทางอินเทอร์เน็ต” ซึ่งเป็นสื่อที่อยู่ในกระแสความนิยมของวัยรุ่นก็ยังพบเนื้อหาที่ไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมาก ซึ่งตอกย้ำว่าปัญหาดังกล่าวยังไม่ได้การดูแลเอาใจใส่จากผู้ใหญ่เท่าที่ควร


ดร.เอื้อจิต วิโรจน์ไตรรัตน์ ผู้อำนวยการ โครงการกลไกสื่อมวลชนศึกษาเพื่อสุขภาวะ มูลนิธิสื่อมวลชนศึกษา (มีเดียมอนิเตอร์) เผยในงานเสวนาเรื่อง “จริยธรรมและการกำกับดูแลรายการโทรทัศน์อย่างคำนึงถึงพัฒนาการของเด็ก” เมื่อเร็วๆ นี้ ว่า จากการศึกษารายการโทรทัศน์ 72 รายการ ของสถานีโทรทัศน์ 6 ช่อง ภาพรวมทุกช่องที่ศึกษาพบรายการ เกมโชว์ ละคร ละครซิทคอม การ์ตูนที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับความรุนแรง การใช้ภาษาส่อทางเพศ ภาษาหยาบคาบ (ดูกราฟฟิกประกอบ)


“ผลการศึกษาพบว่า มีเนื้อหาความรุนแรง 41 รายการ มีการใช้ภาษาส่อทางเพศ หรือภาษาหยาบคาย 24 รายการ มีเนื้อหาเกี่ยวกับเพศ 14 รายการ และมีอคติและการเลือกปฏิบัติผ่านภาพตัวแทนต่างๆ 14 รายการ”

นอกจากนี้ยังพบว่า มีหลายรายการและช่องสถานีที่มีการจัดระดับความเหมาะสมของเนื้อหาหรือ “เรทติ้ง” ไม่สอดคล้องกับระเบียบที่สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กำหนดไว้


รศ.นพ.สุริยเดว ทรีปาตี ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า อิทธิพลจากสื่อนั้นก่อให้เกิดพฤติกรรมทางลบในเด็กด้วยกัน 4 สายพันธุ์ ได้แก่
1.การลอกเลียนแบบ ประเภทแบบแรงมาก็แรงไป 2.ความหวาดระแวงต่อสังคม เพราะตอนนี้พ่อแม่อยู่หลายครอบครัว พยายามติดอินเทอร์เน็ตให้ลูกเล่นในบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกออกไปเล่นเกมข้างนอก เพราะไม่รู้ว่าสังคมภายนอกเป็นอย่างไร


3.ความรู้สึกเคยชิน เช่น คลิปเด็กผู้หญิงเกิดการตบตีกัน ที่สื่อมีการนำเสนออย่างต่อเนื่องจนกลายเป็นเรื่องปกติ และ4.ลดความอยากช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์


หันมาดู “อินเทอร์เน็ต” สื่อใหม่ยุคดิจิทัลอีกประเภทที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มาตลอดว่ามีเนื้อหารุนแรงและไม่เหมาะสมเป็นจำนวนมากนั้น ล่าสุดในวงเสวนา เรื่อง "ผลกระทบของการโฆษณา (ไม่ดี) บนอินเทอร์เน็ตต่อเยาวชนในยุคดิจิทัล”​ ของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) หรือ สพธอ. ก็มีการนำเสนอผลสำรวจโฆษณาบนอินเทอร์เน็ตพบว่ามีการโฆษณาทางเพศและการพนันอย่างแพร่หลายในเว็บไซต์ละเมิดลิขสิทธิ์


นายพอล เอ.วัตเตอร์ อาจารย์จากมหาวิทยาลัยแมสซี ประเทศนิวซีแลนด์ เผยว่า จากการสำรวจเกี่ยวกับผลกระทบของการโฆษณาความเสี่ยงสูงที่มีต่อค่านิยมของสังคมไทย พบว่า ผู้ใช้บริการเว็บไซต์ละเมิดลิขสิทธิ์ต้องเผชิญกับความเสี่ยง เนื่องจากโฆษณาจำนวนมากนั้นมีความเสี่ยงสูง อาทิ โฆษณาของอุตสาหกรรมทางเพศ การพนัน มัลแวร์ (malware) และสแกม (scam)


เขาบอกว่า แม้ว่าที่ผ่านมาไทยจะมีการปราบปรามและป้องกันโฆษณาอันตรายด้วยกฎหมาย อาทิ การออกกฎหมายการพนัน กฎหมายป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณีอย่างแต่เนื่อง แต่การตรวจสภาพแวดล้อมบนออนไลน์เพื่อป้องกันคนไทยห่างจากกิจกรรมดังกล่าวก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก


“ผลการสำรวจก่อนหน้านี้ เกี่ยวกับโฆษณาที่อยู่ผิดที่ผิดทาง หรือเว็บลามกที่เด็กไม่ควรเข้าไป เราไม่ได้บอกว่าทั้งหมดจะเป็นโฆษณาไม่ดี แต่ก็ยังมีโฆษณาสินค้าที่เราใช้ในชีวิตประจำวันด้วย อีกทั้งยังเป็นโฆษณาที่เป็นสินค้ากระแสหลัก ไม่ได้เป็นอันตรายต่อสังคม แต่สินค้าเหล่านั้นกลับไปอยู่ในเว็บไซต์เถื่อน ซึ่งบริษัทเหล่านี้ก็อาจจะไม่ทราบว่าสินค้าของตนเองได้ทำการโฆษณาบนเว็บไซต์เถื่อนก็ได้ รวมทั้ง การที่เราเข้าเว็บโป๊ ยังพบว่า มีการดาวน์โหลดมายังเครื่องคอมพ์เราเองอีกด้วย”


ล่าสุดเขาระบุว่า ได้ทำการศึกษาวิจัยเพื่อวัดระดับของปัญหาดังกล่าวในเอเชียแปซิฟิค ประกอบด้วย ประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย ฮ่องกง ไต้หวัน แคนนาดา อินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ พบว่า โฆษณาความเสี่ยงสูงมีแนวโน้มพุ่งเป้าหมายไปที่กลุ่มเป้าหมายเว็บโซต์ที่มีการนำเสนอเนื้อหาของฮอลลีวู้ดและเนื้อหาระดับนานาชาติที่เป็นภาษาอังกฤษ


สำหรับในประเทศไทยได้มีการดาวน์โหลดเว็บเพจยอดนิยมรวม 430 เว็บเพจมาวิเคราะห์ พบว่า มีการเผยแพร่ทั้งโฆษณาทั่วไปและโฆษณาที่มีความเสี่ยงสูง


โดย 6.26% ของโฆษณาที่พบบนเว็บไซต์ละเมิดลิขสิทธ์ที่มีความนิยมมากที่สุดในประเทศไทยเป็นโฆษณากระแสหลัก ส่วนที่เหลือ ทั้งหมด 93.74% เป็นโฆษณาความเสี่ยงสูง ซึ่งในโฆษณาความเสี่ยงสูงทั้งหมด เป็นโฆษณาเกี่ยวกับอุตสาหกรรมทางเพศ 62.22% และการพนัน 16.05%


ทั้งนี้ โฆษณาบนเว็บไซต์ละเมิดลิขสิทธิ์ภาษาไทยส่วนใหญ่เป็นโฆษณาความเสี่ยงสูง ผู้ปกครองควรต้องรับทราบว่า เด็กกำลังดูอะไรอยู่ อีกทั้งผู้ออกกฎหมายควรพิจารณาหาวิธีสกัดกั้นเนื้อหาที่มีความเสี่ยงสูง เพราะมัลแวร์ สามารถขโมยข้อมูลที่สำคัญทางการเงินได้


นางศรีดา ตันทะอธิพานิช ผู้จัดการมูลนิธิอินเทอร์เน็ตร่วมพัฒนาไทย บอกว่า ในหลายประเทศเด็กนักเรียนจะได้เรียนวิชารู้เท่าทันสื่อและโฆษณาทำให้รู้ว่าสื่อและโฆษณาเป็นสิ่งที่มีคนสร้างขึ้น มีวัตถุประสงค์ชัดเจน เช่น ให้ข้อมูล โน้มน้าวชักจูง สร้างค่านิยมเพิ่มยอดขายสินค้า การรู้เท่าทันสื่อจึงเท่ากับเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้รู้จักคิดวิเคราะห์ประเมินคุณค่า และสามารถเลือกสิ่งที่ดีมีประโยชน์มากกว่าการเชื่อตามข่าวหรือ โฆษณาทั้งหมด


ทั้งนี้ เธอเสนอว่า รัฐบาลควรสร้างการรู้เท่าทันสื่อให้กับประชาชน อีกทั้งต้องมีการจัดทำหลักสูตรรู้เท่าทันสื่อและสารสนเทศ หลักสูตร IT Security ในโรงเรียน และต้องจริงจังกับการปราบปรามและควบคุมเนื้อหาที่ผิดกฎหมายหรือเป็นอันตรายบนอินเทอร์เน็ตโดยเฉพาะสื่อลามกอนาจารและการละเมิดทางเพศเด็ก
ขณะเดียวกันผู้ประกอบการต้องมีจริยธรรม ต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม ไม่เห็นแก่เงินอย่างเดียว ส่วนครอบครัวที่เป็นเกราะป้องกันภัยที่ดีที่สุดก็ต้องเข้มแข็งด้วย

...


เด็กเรีียนรู้จากสื่อ มากกว่าในห้องเรียน


นางสาวเข็มพร วิรุณราพันธ์ ผู้อำนวยการสถาบันสื่อเด็กและเยาวชน บอกว่า สื่อก็ถือเป็นสถาบันการศึกษานอกห้องเรียนของเยาวชน ทุกวันนี้เด็กใช้เวลาอยู่กับสื่อ 7 – 8ชั่วโมงต่อวัน มากกว่าอยู่ในโรงเรียนด้วยซ้ำ และยืนยันว่าเด็กเรียนรู้จากสื่อมากกว่าในห้องเรียน แต่เราก็ยังมีความเชื่อว่า สื่อไม่ได้มีอิทธิพลในการเรียนรู้ของเด็ก แต่เป็นบทบาทของพ่อแม่หรือครูมากกว่า ซึ่งเป็นมายาคติที่สังคมต้องมายอมรับร่วมกันให้ได้


เธอบอกว่า เรากับทุ่มเงินมหาศาลไปที่สื่อเพื่อไปกระตุ้นการบริโภคหรือการโฆษณา ดังนั้นก็มีหลายเรื่องมากที่เราต้องมายอมรับร่วมกันว่าถึงเวลาที่เราต้องใช้สื่อเพื่อสร้างการเรียน การศึกษาให้กับเด็กได้แล้ว


อย่างไรก็ตาม ถ้าสื่อบอกว่าเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างการเรียนการศึกษาให้กับเด็กและสังคม จะต้องเป็นมาช่วยกันมองว่า มีทักษะตรงไหนบ้างที่เด็กยังขาดอยู่ และเป็นปัญหาของสังคม


“เราเสียเวลาในการท่องค่านิยม12ประการ การรักชาติต่างๆ เราไม่เคยเข้าใจว่า การที่จะนำพาชาติของเราไปข้างหน้า โดยต้องสร้างเด็กหรือพลเมืองของเราให้เขามีทักษะอะไร จึงคิดว่า สื่อต่างๆ จะเป็นตัวช่วยให้ชาติและสังคมขับเคลื่อนไปข้างหน้า”


อนึ่ง เนื้อหาที่เกี่ยวกับเพศ ภาษาส่อทางเพศ ภาษาหยาบคาย ความรุนแรง อคติและการเลือกปฏิบัติผ่านภาพตัวแทน ที่พบในรายการโทรทัศน์ อาจส่งผลกระทบต่อเด็กใน 5 ด้านสำคัญ ได้แก่


1.กระบวนการคิด ข้อมูลจากสื่อส่งผลต่อความรู้ความคิด การเห็นแบบอย่างจากสังคม 2.ทัศนคติหรือความเชื่อ โดยที่สื่อนำเสนอค่านิยมหรือการให้คุณค่าต่อสิ่งรอบตัว ก็จะทำให้เด็กซึมซับไป


3.พฤติกรรม ซึ่งกลุ่มเด็กและเยาวชนจะถูกโน้มน้าวและชี้นำได้มากกว่าปกติ 4.การแสดงออกทางอารมณ์ยิ่งข้อมูลกระตุ้นอารมณ์มากเท่าไร ก็จะยิ่งส่งผลต่อการจดจำมากเท่านั้น สื่อต้องนำเสนอข้อมูลในเชิงบวก


และ5.ทางด้านกายภาพหรือร่างกาย สื่อที่นำเสนอข้อมูลรุนแรงและทำให้เกิดความรู้สึกในเชิงลบ ก่อให้เกิดความชินชาต่อความรุนแรง และทำให้สูญเสียความรู้สึกผิดชอบชั่วดีได้ อีกทั้งเกิดพฤติกรรมต่อต้านไม่ย้อมเข้านอนด้วย