'พุทธะอิสระ'ยื่นสปช.-รัฐบาล สอบทรัพย์สินมหาเถรสมาคม

"หลวงปู่พุทธะอิสระ" ปูดมือมืดโทรศัพท์ล็อบบี้ขอร้องให้ยุติเรื่อง "ธัมมชโย" แลกกับตำแหน่งทางสงฆ์ ยันเดินหน้าต่อ บุกร้อง "ประธาน สปช.-หม่อมหลวง
ให้ตรวจสอบทรัพย์สินมหาเถรสมาคมทั้งหมดวันนี้ ด้าน "สุวพันธุ์"เตรียมดึงร่างพ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนามาดูอีกครั้งหวังปรับให้เข้าสถานการณ์ปัจจุบัน
กรณีมหาเถรสมาคม (มส.) มีมติไม่ให้พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย ต้องปาราชิกนั้น ล่าสุด หลวงปู่พุทธะอิสระ เจ้าอาวาสวัดอ้อน้อย จ.นครปฐม กล่าวถึงการเจรจากับพระพรหมโมลี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ เมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา เกี่ยวกับประเด็นของพระธัมมชโย ที่ มส.มีมติไม่ต้องปาราชิกว่า ได้สอบถามไปว่า มหาเถรสมาคมใช้หลักฐานอะไรมาพิจารณาและลงมติว่าไม่ผิด ซึ่งได้รับคำตอบว่า ใช้หลักฐานเก่าเมื่อ 15 ปีที่ผ่านมา จึงถามต่อว่าเคยเรียกพระธัมมชโยมาสอบถามหรือไม่ ก็ได้รับคำตอบว่า ไม่เคยเรียก พร้อมกับบอกว่า เรื่องนี้เกิดมา 15 ปีแล้ว ให้จบๆ ไป อย่าฟื้นฝอยหาตะเข็บ อย่าทำให้บ้านเมืองวุ่นวายเลย เสียบรรยากาศความปรองดอง
หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวว่า พระพรหมโมลียังระบุด้วยว่า พระลิขิตของสมเด็จพระสังฆราชไม่ได้เป็นกฎหมาย เป็นแค่หนังสือบันทึกข้อความ จึงค้านไปว่า หนังสือลงนามว่า "สกลมหาสังฆปริณายก" ถือเป็นคำสั่ง เป็นกฎหมาย แต่ก็ได้รับคำตอบว่า ไม่ใช่ เพราะในหนังสือมีคำว่า "ถ้า" จึงทำให้มหาเถรสมาคมพิจารณาว่า ไม่มีความสำคัญ เป็นแค่การเสนอความเห็น
"ฉันบอกไปว่า จะเอามาตรฐานนี้ของคณะปกครองสงฆ์ไปทำแบบนี้บ้าง เขาบอกไม่ใช่ มันคนละกรณี เพราะเหตุผลชุดนี้ใช้ได้กับพระธัมมชโยอย่างเดียว ตอนนี้อาตมารู้หมด โดยมีคนโทรมาบอกว่า จะให้ฉันมีงานทำเสนอตำแหน่งให้ ให้หยุดเรื่องนี้ โดยวันจันทร์ที่ 23 ก.ย.นี้ จะเดินทางไปยื่นหนังสือต่อนายเทียนฉาย กีระนันทน์ ประธานสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) และม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้ตรวจสอบทรัพย์สินของมหาเถรสมาคมทั้งหมด พร้อมกับเสนอให้จัดตั้งองค์คณะพิทักษ์คุ้มครองพระพุทธศาสนา ที่มีกรรมการจากประชาชนและพระสงฆ์ ที่มีความเข้าใจ เรื่องนี้มิใช่ไปยุบมหาเถรสมาคม แต่ไปช่วยมหาเถรสมาคมทำงาน เพราะขณะนี้แต่ละองค์อายุมากอาจไม่ทันสมัย บางทีมีพวกบริวารทำงานแทน ทำให้พวกนี้ไปเรียกรับประโยชน์"
หลวงปู่พุทธะอิสระ กล่าวต่อว่า เรื่องนี้ไม่ได้ทำให้สงฆ์แตกแยก แต่จะทำให้สงฆ์ลำบาก เพราะถูกตรวจสอบทรัพย์สินที่มีอยู่ รวมถึงมหาวิทยาลัยสงฆ์ 2 แห่งด้วย จะต้องถูกตรวจสอบการใช้จ่ายงบประมาณ เพราะเท่าที่ทราบมา ในปีหนึ่งใช้งบไปดูงานต่างประเทศหลายสิบล้านบาท
"อยากถามว่า จำเป็นแค่ไหน ไปดูงานที่ลาสเวกัส อิตาลี ฝรั่งเศส มีงานของคณะสงฆ์อะไรแถวนั้นให้ดู งานนี้ต้องปฏิรูปศาสนจักร เพราะอาณาจักรเมื่อปฏิรูปแล้ว ศาสนจักรต้องถูกปฏิรูปด้วย เพื่อไม่ให้ถ่วงสังคม รักษาพวกพ้องที่มีความเน่าใน หากคณะสงฆ์จะประท้วงก็ไม่เป็นไร และหากชาวบ้านประท้วงไม่ใส่ข้าวให้กิน พระคุณเจ้าลองไปหากินเองบ้าง"
ขณะนายสุวพันธุ์ ตันยุวรรธนะ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า ขณะนี้ได้สั่งการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติให้รายงานมติของมหาเถรสมาคมอย่างละเอียดให้ทราบ ทั้งนี้ กรณีการกระทำผิดพระธรรมวินัย และการลงโทษตามพระธรรมวินัยเป็นเรื่องของคณะสงฆ์ที่มีแนวทางปฏิบัติไว้ในข้อบังคับของมหาเถรสมาคม
ส่วนกรณีพระธัมมชโย ที่มหาเถรสมาคมมีมติออกมา เป็นการดำเนินการของฝ่ายศาสนจักร ดังนั้นไม่ว่าจะเสร็จสิ้นหรือจะดำเนินการอย่างไรต่อไปก็เป็นเรื่องของฝ่ายศาสนจักรที่มีกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ รวมทั้งพระธรรมวินัยกำกับไว้อยู่แล้ว
"ส่วนหนึ่งที่ได้สั่งการให้ทำไปแล้วคือ กฎหมายที่เกี่ยวกับกิจการพระพุทธศาสนาทุกด้าน ทั้งกฎหมายเก่าและกฎหมายใหม่ ปัจจุบันมีกฎหมายใหม่อยู่หนึ่งฉบับคือ ร่าง พ.ร.บ.อุปถัมภ์และคุ้มครองพระพุทธศาสนา ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตรวจแก้ไขร่างเสร็จแล้ว เตรียมดำเนินการในขั้นตอนต่อไป และคงจะต้องนำมาทบทวนอีกรอบว่า เหมาะสมกับสถานการณ์ในปัจจุบันหรือไม่ หรือมีประเด็นใดที่ถูกมองข้ามหรือละเลย"
นายสุวพันธุ์ กล่าวว่า อีกเรื่องที่ต้องทำคือ การปฏิรูปเชิงโครงสร้างและระบบ ซึ่งต้องทำงานร่วมกันระหว่างรัฐบาล สภาปฏิรูปแห่งชาติ ภาคประชาชน และฝ่ายศาสนจักร เพราะข้อเท็จจริงในปัจจุบันปรากฏให้เห็นแล้วว่า ขณะนี้พุทธศาสนิกชนตื่นตัวในเรื่องการปกป้องพระพุทธศาสนา โดยพยายามรณรงค์ให้ประชาชนเข้าวัด ไหว้พระ สวดมนต์ ทำความดี แต่อีกทางหนึ่งประชาชนหลายฝ่ายจำนวนมากก็มีข้อกังขา ทำให้ความพยายามส่งเสริมจึงไม่เกิดผลสัมฤทธิ์ ดังนั้นสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ต้องเป็นกลไกในการทำงานให้แก่รัฐบาล และต้องทำทุกอย่างให้เป็นไปตามนโยบายแนวทางที่รัฐบาลกำหนด ซึ่งเรื่องนี้ได้กำชับผู้บริหารไปแล้ว
ด้านนายไพบูลย์ นิติตะวัน สมาชิก สปช. ในฐานะประธานคณะกรรมการปฏิรูปแนวทางและมาตรการปกป้องพิทักษ์กิจการพระพุทธศาสนา สปช. กล่าวถึงกรณีหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตในเรื่องที่คณะกรรมการได้ เข้ามาตรวจสอบกรณีของวัดพระธรรมกาย เป็นการรับลูกกับทาง หลวงปู่พุทธะอิสระ ว่า กรรมการชุดนี้ตั้งมามีประเด็นหลักคือ การวิเคราะห์สาเหตุปัญหาของกิจการศาสนาในเรื่องของเงินวัดเงินพระ ที่ไม่โปร่งใสว่าจะมีการดำเนินการอย่างไร และในเรื่องของการเรียนการสอนในองค์กร ว่าเรื่องใดทำได้หรือไม่ได้ ผิดวินัยหรือไม่ เพราะเรื่องนี้ยังไม่มีความชัดเจน
รวมถึงในเรื่องปัญหาการปกครองของสงฆ์ว่า ไม่มีประชาชนมีส่วนร่วมในเรื่องต่าง ๆ เช่น ในวัดเจ้าอาวาสมีอำนาจที่สุด และลำดับชั้นต่อไปก็จะเป็นเจ้าคณะตำบล อำเภอ จังหวัด โดยมีความสัมพันธ์กันกับคณะสงฆ์ ซึ่งเรื่องนี้ ตนอยากให้มีประชาชน หรือฆราวาสเข้าไปมีส่วนร่วม ไม่ได้เอาแต่ตำแหน่งสงฆ์เป็นหลัก ซึ่งเป็นกรณีศึกษาจากนักวิชาการว่า จะมีการปฏิรูปอย่างไร จึงมีการยกกรณีศึกษาขึ้นมาคือในเรื่องของวัดพระธรรมกาย และในส่วนของประชาชน หรือพระพุทธอิสระ มีสิทธิ์แสดงความคิดเห็นในเรื่องนี้ เพราะถือว่าเป็นสิทธิ์







