วิเคราะห์'ประยุทธ์ ทอล์ค'

(รายงาน) วิเคราะห์ "ประยุทธ์ ทอล์ค" เนื้อหาดีแต่ลีลาต้องปรับ
เห็นจะเป็นเรื่องที่หลีกหนีไม่ได้เสียแล้วสำหรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากสังคมที่มีต่อ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) หลังจากได้ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศไทย
เสียงวิจารณ์ย่อมมีตั้งแต่เรื่องใหญ่ๆ ระดับนโยบาย ไปจนถึงเรื่องกลางๆ และเล็กๆ เช่น การพูด การเดิน การแต่งตัวหรือแม้แต่บุคลิกท่าทาง
ต้องยอมรับว่าคนที่เป็น "นายกรัฐมนตรี" จะถูกจับตาทุกฝีก้าว ไม่ว่าจะขยับตัวทำอะไรก็จะกลายเป็น "ข่าว" มีคนสังเกตและตีความการกระทำของท่านอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่แค่เรื่องการทำงาน แต่มันหมายรวมถึงชีวิตส่วนตัว ครอบครัว ลูกเมีย ท่วงทำนองการใช้ชีวิตจะถูกสปอตไลท์สาดส่องไปทุกที่ ทุกหนทุกแห่ง ทุกอิริยาบถ
ครั้งหนึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ เคยบ่นว่ามีคนวิจารณ์ว่าทำไมคอปกเสื้อไม่เรียบร้อย นั่นคือสัญญาณที่บอกให้รู้ว่า ต่อจากนี้ไปไม่ใช่แต่นโยบายหรือการตัดสินใจแก้ไขปัญหาของประเทศเท่านั้นที่ถูกจับตา แต่เสื้อผ้าหน้าผม คารมคมคายของท่านผู้นำ จะกลายเป็นประเด็นพูดคุย เป็นหัวข้อสนทนาของชาวบ้านอย่างปฏิเสธไม่ได้
ล่าสุดในการเข้าทำเนียบรัฐบาลวันแรกของท่านนายกฯประยุทธ์ ปรากฏว่าท่านไม่แต่งชุดทหาร แม้ยังเป็นผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) อยู่ แต่เลือกสวมเสื้อพระราชทานแขนยาวสีฟ้าอ่อนแทน นั่นสะท้อนให้เห็นว่าท่านเริ่มได้ยินเสียงวิจารณ์จากสังคมบ้างแล้ว
อีกเรื่องที่ยังคงถูกพูดถึงอย่างต่อเนื่อง คือเรื่อง "การสื่อสาร" โดยเฉพาะผ่านรายการคืนความสุขให้คนในชาติ ทุกวันศุกร์ ด้วยความที่นายกฯประยุทธ์เป็นทหารมาทั้งชีวิต จึงถูกมองว่าท่วงทำนองการพูด และลีลาการแสดงออกของ พล.อ.ประยุทธ์ ดูจะแข็งกร้าวดุดัน เหมือนไม่ได้พูดคุยกับประชาชน แต่เป็นการ "สั่ง" ประชาชนมากกว่า
ดร.นันทนา นันทวโรภาส คณบดีวิทยาลัยสื่อสารการเมือง มหาวิทยาลัยเกริก เจ้าของตำรา "สื่อสารการเมือง" เล่มแรกที่เขียนโดยนักวิชาการชาวไทย ได้วิเคราะห์การสื่อสารของ พล.อ.ประยุทธ์ เอาไว้อย่างน่าฟัง โดยวิเคราะห์แยกเป็น 3 องค์ประกอบ คือ เนื้อหา ลีลา และจังหวะเวลา
ดร.นันทนา มองว่า ในส่วนของเนื้อหาข้อมูลนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ถือว่าสอบผ่าน เพราะการพูดของท่านแต่ละสัปดาห์ (รายการคืนความสุขให้คนในชาติ) มีเนื้อหาสาระมากมาย มีการจัดเตรียมประเด็นแน่นปึกทุกประเด็นที่อยู่ในความสนใจของประชาชน ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ ระดับรากหญ้า แม่ค้า พ่อค้า หรือนักเรียนชั้น ป.1 จนถึงเรื่องระดับโครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคม พล.อ.ประยุทธ์ สามารถหยิบยกมาอธิบายได้ทุกเรื่อง และท่านพูดอย่างเข้าใจ แสดงให้เห็นว่าท่านทำการบ้านมาดีก่อนที่จะสื่อสารกับประชาชน
แต่ที่ดูจะเป็นปัญหาคือในเรื่อง "ลีลาท่าทาง" เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ ใช้วิธีการยืนเฉยตลอดรายการ ซึ่งการที่ท่านออกมายืนตัวแข็งแล้วพูดยาวนานกว่า 1 ชั่วโมงนั้น จะทำให้คนฟังเบื่อ พฤติกรรมคนดูทีวีจะสนใจสิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอแค่ 15 นาทีแรกเท่านั้น ถ้าเลยจากนั้นไปแล้วไม่มีความเคลื่อนไหวใหม่ๆ คนจะไปสนใจสิ่งอื่นที่อยู่รอบตัว ยิ่งวันนี้มีโซเชียลมีเดีย เฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ ยิ่งทำให้ผู้คนหันไปรับข่าวสารจากทางอื่น หรือไม่ก็ปิดทีวีทิ้งไปเลย
"เหมือนในห้องเรียน ขนาดอาจารย์ที่สอนเก่งมากๆ ถ้าออกมาพูดคนเดียวยาวเหยียดเกิน 15 นาทีจะไม่มีใครฟังแล้ว ไม่ว่าจะพูดสนุกอย่างไรก็เอาไม่อยู่ ความสนใจของคนมีขีดจำกัด ถ้าเขาไม่มีส่วนร่วมก็จะหันเหความสนใจไปทางอื่น"
ดร.นันทนา วิเคราะห์ต่อไปว่า ยิ่งบางช่วงท่านพูดดุดัน น้ำเสียงเหมือนออกคำสั่ง จุดนี้ทำให้ประชาชนคนฟังรู้สึกว่าถูกสั่งการ ยิ่งท่านสวมเครื่องแบบทหารมาพูดยิ่งทำให้เกิดความรู้สึกเหินห่างกับประชาชน
"ในช่วงที่รัฐประหารใหม่ๆ ท่านจะใส่ชุดทหารก็ไม่มีใครว่าอะไร เพราะเป็นช่วงที่บ้านเมืองไม่มั่นคง แต่เมื่อเวลาผ่านไป 2-3 เดือนแล้วยังเห็นท่านแต่งเครื่องแบบทหาร คนฟังจะรู้สึกว่านี่รัฐประหารอีกแล้วหรือ เหมือนสถานการณ์ไม่ปกติอยู่ตลอดเวลา ยิ่งท่านใช้ลักษณะการพูดเชิงคำสั่ง ดุดันด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ห่างไกลจากคนฟัง"
"ในบทบาท ผบ.ทบ.ท่านจะสื่อสารแบบนี้ไม่มีปัญหา แต่เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วต้องมีความเป็นกันเอง ต้องให้ประชาชนรู้สึกผ่อนคลาย ต้องมีความใกล้ชิดประชาชนมากกว่านี้" ดร.นันทนา กล่าว
การเลือกช่วงเวลาพูดกับประชาชน ก็เป็นอีกประเด็นหนึ่งที่ผู้เชี่ยวชาญด้านสื่อสารการเมืองผู้นี้ ยังมองว่าเสี่ยงที่จะทำให้ชาวบ้านไม่พอใจ โดยเฉพาะคนที่หาเช้ากินค่ำนั้น ละครหลังข่าวคือความสุขเล็กๆ ของพวกเขา
"อย่าลืมว่าสำหรับคนจำนวนไม่น้อย ละครหลังข่าว มันคือการผ่อนคลาย คือความสุขอันน้อยนิด หลังจากที่ทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน ฉะนั้น พล.อ.ประยุทธ์ เลือกที่จะพูดในเวลานี้ถือว่าเสี่ยงพอสมควร ยิ่งการให้ทุกช่องต้องถ่ายทอด ทำให้คนไม่มีทางเลือก จะเห็นว่าทางเลือกของคนในเวลานั้นคือจะดูหรือไม่ดู ไม่ดู พล.อ.ประยุทธ์ ก็ดูช่องอื่นไม่ได้"
"ต่างกับนายกรัฐมนตรีสมัยก่อนหน้านี้ที่จะพูดกับคนเช้าวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ทางช่อง 11 คนที่ไม่อยากดูก็ไปดูช่องอื่น แต่การที่ถ่ายทอดทุกช่องอย่างปัจจุบัน คนจะไม่มีทางเลือก มีแค่จะดูหรือไม่ดูเท่านั้น หมายถึงถ้าไม่ดูก็ปิดทีวีไปเลย ถ้าเป็นแบบนี้นานๆ จะเกิดความอึดอัด" ดร.นันทนา กล่าว
เสียงสะท้อนของนักวิชาการก็เหมือนกับกระจกเงาที่สะท้อนให้ พล.อ.ประยุทธ์ และทีมงานรอบตัวท่านได้พิจารณาเพื่อปรับกลยุทธ์ในการสื่อสารว่าจะทำอย่างไรถึงจะครองใจประชาชนไปได้ยาวนานและยั่งยืน







