ค้นที่ฝึกอาวุธลำพูนยึดปืนอื้อ

ทหารบุกค้นสนามฝึกอาวุธที่ลำพูน ยึดปืนสั้น ปืนยาวหลายกระบอก "แม่ทัพภาค 1" ลั่นต้องดำเนินคดีอาวุธสงครามเด็ดขาด
พ.อ.บุญยืน อินกว่าง เสนาธิการกองพลทหารราบที่ 7 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบแห่งชาติ กองพลทหารราบที่ 7 ส่วนแยก 1(ผบ.กกล.รส.7 สย.1) ลำพูน เปิดเผยเมื่อวานนี้ (27 พ.ค.) ว่า ได้นำกำลังทหารกว่า 30 นาย ร่วมกับตำรวจภูธรจังหวัดลำพูนเข้าตรวจค้นสวนลำไย เลขที่ 184 หมู่ 12 บ้านเชตวัน ต.เหมืองจี้ อ.เมือง จ.ลำพูน หลังสืบทราบว่าพื้นที่แห่งนี้เคยใช้เป็นสถานที่ฝึกอาวุธ และอาจมีการซุกซ่อนอาวุธเป็นจำนวนมาก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ขณะเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นพบชายฉกรรจ์ 5 คน นั่งจับกลุ่มอยู่แต่เมื่อเห็นเจ้าหน้าที่ต่างพากันวิ่งหลบหนีจึงได้กระจายกำลังออกติดตามจับกุมมาได้ 1 คน คือ นายไพรัช สิงห์คำ อายุ 38 ปี ชาว ต.ประตูป่า อ.เมือง จ.ลำพูน
นอกจากนี้ยังพบนางเสาวณี อิ่นตะหล่อ อายุ 50 ปี ชาว ต.ท่าวังพร้าว อ.สันป่าตอง จ.เชียงใหม่ เป็นคนเฝ้าสวนลำไย และเป็นภรรยาของนายสมพงษ์ พันธะจักร อายุ 50 ปี ที่วิ่งหลบหนีเจ้าหน้าที่ไปก่อนหน้านี้แล้ว
ยึดปืนหลายกระบอก
ผลการตรวจค้นพบอาวุธปืนยาวชนิดประดิษฐ์ 3 กระบอก อาวุธปืนสั้นดัดแปลงขนาด .22 จำนวน 1 กระบอก ลูกกระสุนปืนขนาด .22 จำนวน 2 นัด ลูกกระสุนปืนอาก้า จำนวน 1 นัด เสื้อเกราะกันกระสุน จำนวน 8 ตัว รถจักรยานยนต์ 3 คัน
นอกจากนี้ยังพบธง ผ้าพันคอ เสื้อเชิ้ต ติดสัญลักษณ์กลุ่มผู้ชุมนุมสีเสื้อ ซีดีเพลงปลุกใจของกลุ่มผู้ชุมนุม วิทยุสื่อสาร 1 เครื่อง หมวกสีเขียว จำนวน 1 ใบ สมุดบัญชีเงินฝากของธนาคารกรุงเทพ จำนวน 2 เล่ม กระติกน้ำดื่มแบบทหาร 1 ใบ เอกสารต่างๆ ที่เกี่ยวกับการชุมนุม 1 แฟ้ม และเงิน 3,700 บาท
พ.อ.บุญยืน กล่าวว่า ได้นำตัวนายไพรัช และนางเสาวณี ไปสอบปากคำ ส่วน นายสมพงษ์ พันธะจักร สามีของนางเสาวณีกับการ์ด นปช. อีก 2 คนหลบหนีไปได้ ทางด้านของกลางที่ตรวจพบ เจ้าหน้าที่ได้ นำไปเก็บไว้เป็นหลักฐานส่งมอบให้กับทางพนักงานสอบสวน สภ.เหมืองจี้ ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
ส่วนการเรียกตัวแกนนำผู้ชุมนุมในพื้นที่ จ.ลำพูดเข้ารายงานตัวนั้น พ.อ.บุญยืน กล่าวว่า นายอุดมศักดิ์ พรหมสิทธิ์ แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หริภุญชัย พร้อมด้วย นายบุญเลิศ ทัศสา นายอนันต์ นีสอง และนายยุทธนา อินต๊ะนารี การ์ด นปช.นครหริภุญชัย ได้มารายงานตัวเพื่อรับฟังคำชี้แจงแล้ว
ปิดล้อมพื้นที่ล่ามือยิงทหารพราน
ด้านความคืบหน้ากรณีนาวิกโยธินเข้าตรวจค้นสวนผลไม้และบ้านต้องสงสัยในพื้นที่ อ.เขาสมิง จ.ตราด ของนายณรงค์ กระจ่างกลาง แต่ถูกหนึ่งในคนร้ายที่กำลังหลบหนียิงใส่อาสาสมัครทหารพราน (อส.ทพ.) วุฒินันท์ ศรีประสิทธ์ สังกัดชุดควบคุมทหารพรานนาวิกโยธินที่ 1 บ่อไร่ เสียชีวิตนั้น พ.ต.อ.จิรวุฒิ ตัณฑศรี ผกก.สภ.เขาสมิง พร้อมเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจสอบบ้านพักและจุดที่เกิดเหตุอีกครั้งเพื่อหาหลักฐานเพิ่มเติม โดยมีการยึดหลักฐานบางอย่างไปตรวจสอบ ส่วนกำลังอาสาสมัครทหารพรานและนาวิกโยธินได้ระดมกำลังปิดเส้นทางสายหลายสายเพื่อสกัดการหลบหนีของคนร้ายอีก 1 คน
อย่างไรก็ตาม พ.ต.อ.จิรวุฒิ กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวหนึ่งในผู้ที่ถูกทหารควบคุมตัวไปนั้นเสียชีวิตว่า ยังไม่ได้นรับรายงาน หากมีจริงทหารต้องรายงานให้ตำรวจทราบด้วย ทั้งนี้มีรายงานว่าทหารได้ขอควบคุมตัวนางบุญมี กระจ่างกลาง อายุ 49 ปี ภรรยานายณรงค์ ไปสอบปากคำที่ค่ายทหารใน จ.จันทบุรี เพื่อสอบสวนขยายผล
ค้นโรงแรมแกนนำแดงรักเชียงใหม่
ส่วนที่ จ.เชียงใหม่ ทหารจากกองพลทหารราบที่ 7 ค่ายขุนเณร อ.แม่ริม บุกเข้าตรวจค้นโรงแรมวโรรสแกรนด์พาเลส ต.พระสิงห์ อ.เมือง จ.เชียงใหม่ ของนายเพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล อดีตที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ และประธานที่ปรึกษากลุ่มเสื้อแดงรักเชียงใหม่ 51 หลังไม่มารายงานตัวตามคำสั่งของ คสช.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การตรวจค้นครั้งนี้ไม่พบนายเพชรวรรต มีเพียงแม่บ้านที่ดูแลโรงแรมฯ 2 คน อย่างไรก็ตามเจ้าหน้าที่ได้ยึดเอกสารและอุปกรณ์การชุมนุมของกลุ่มเสื้อแดงรักเชียงใหม่ 51 คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค 5 เครื่อง กล้องวีดีโอ กล้องถ่ายรูป กระสุนปืน 7 นัด เสื้อเกราะกันกระสุน 1 ตัว ประทัดลูกบอล เป็นต้น
แม่ทัพภาค1ย้ำ4ประเด็นต้องควบคุม
ที่กองทัพภาคที่ 1 ถนนราชดำเนิน วานนี้ (27 พ.ค.) พล.ท.ธีรชัย นาควานิช แม่ทัพภาคที่ 1 ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อย (กกล.รส.) เป็นประธานการประชุมชี้แจงแนวทางการปฏิบัติ และข้อเน้นย้ำนโยบายสำคัญ โดยนายทหารและตำรวจระดับสูงเข้าร่วมประชุมอย่างพร้อมเพรียง อาทิ พล.ท.ปรีชา จันทร์โอชา แม่ทัพภาคที่ 3 พล.ท.พิสิทธิ์ สิทธิสาร แม่ทัพน้อยภาคที่ 1 พล.ท.เฉลิมชัย สิทธิสาท ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ (นสศ.)
พล.ต.ท.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผู้บัญช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผู้ช่วย ผบ.ตร.) รักษาการผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) พล.ต.กู้เกียรติ ศรีนาคา ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร 2 รอ.) พล.ต.ไพโรจน์ ทองมาเอง ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) รวมทั้งผู้บัญชาการระดับกองพล ผู้บังคับหน่วย และผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1-9 (ผบก.น.1-9) และหน่วยงานด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ 77 จังหวัด
พล.ท.ธีรชัย กล่าวย้ำในที่ประชุมถึงการรักษาความสงบเรียบร้อยใน 4 ประเด็น คือ 1.การควบคุมบุคคล ติดตามจับกุมบุคคลเป้าหมายที่ไม่เข้ารายงานตัว กองกำลังติดอาวุธ และแกนนำปลุกระดมมวลชนทุกคน การเข้าตรวจค้นแหล่งซุกซ่อนอาวุธสงคราม วัตถุระเบิด อย่างต่อเนื่องในพื้นที่ที่รับผิดชอบ โดยระมัดระวังการสร้างเงื่อนไขใหม่
2.การควบคุมสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ทั้ง 5 ประเภท ซึ่งดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ไม่ให้มีการใช้สื่อยุยง ปลุกปั่น ชักชวนเข้าร่วมชุมชน และหมิ่นสถาบัน 3.ด่านตรวจในพื้นที่รับผิดชอบได้เน้นการค้นอาวุธ วัตถุระเบิด สกัดมวลชนเข้ามาในพื้นที่กรุงเทพฯ
และ4.ควบคุมพื้นที่ถึงระดับหมู่บ้าน ด้วยการทำความเข้าใจกับประชาชนด้วยการประชาสัมพันธ์ทุกรูปแบบอย่างกว้างขวางและต่อเนื่องเป็นระยะ
ลั่นจัดการกลุ่มสะสมอาวุธเด็ดขาด
พล.ท.ธีรชัย กล่าวว่า กลุ่มที่สะสมกำลังอาวุธสงครามจะดำเนินการขั้นเด็ดขาด ส่วนกลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านนั้นเจ้าหน้าที่จะบังคับใช้กฎหมายจากเบาไปหาหนัก เน้นควบคุมแกนนำ เจรจาทำความเข้าใจ พร้อมทั้งเข้าวางกำลังก่อนการชุมนุม โดยให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นหลักในการควบคุมพื้นที่ และคลี่คลายสถานการณ์
ส่งตรวจเครื่องดื่มหาสารแปลกปลอม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตลอดทั้งวันของวานนี้ (27 พ.ค.) มีการส่งต่อข้อความทางสื่อสังคมออนไลน์ว่า เมื่อช่วงกลางดึกวันที่ 26 พ.ค.ที่ผ่านมา มีทหารตรวจสอบพบสิ่งผิดปกติในเครื่องดื่มชนิดต่างๆ ที่มีผู้นำมามอบให้
ทั้งนี้ หลังเกิดข่าวดังกล่าวทางกองกำลังรักษาความสงบเรียบร้อยได้แจ้งเจ้าหน้าที่ทหารทุกหน่วยที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ให้ระมัดระวัง และหากมีประชาชนนำสิ่งของมามอบให้ก็ให้ถ่ายรูปรับมอบกับบุคคลคนนั้นด้วย โดยพล.ท.ธีรชัย กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ได้สั่งการไปยังทหารว่ากรณีดังกล่าวไม่ต้องระแวงเพราะสามารถตรวจสอบได้ หากจับได้จะดำเนินการขั้นเด็ดขาด
ขณะที่ พล.ต.ไพโรจน์ ทองมาเอง ผบ.พล.ร. 9 กล่าวว่า ขณะนี้ทหารกำลังให้ทางโรงพยาบาลตรวจสอบอยู่ ดังนั้น ขอร้องประชาชนและสื่อมวลชนอย่าเพิ่งตื่นตระหนก ซึ่งเชื่อว่าไม่ใช่การวางยาพิษ หรือนำสิ่งแปลกปลอมใส่ลงในเครื่องดื่ม แต่อาจจะเป็นเพราะเครื่องดื่มหมดอายุก็ได้
"เรื่องดังกล่าวเกิดขึ้นขณะที่กำลังพลไปหยิบในถัง ไม่ใช่การยื่นส่งมอบให้โดยตรง และกำลังพลก็ไม่ได้ดื่มเข้าไป เกรงว่าข่าวที่ออกไปจะเป็นการทำลายความรู้สึกของประชาชนที่หวังดี ส่วนจะเป็นอย่างไรนั้นต้องรอผลการตรวจสอบจากทางโรงพยาบาลอย่างเป็นทางการอีกครั้ง" พล.ต.ไพโรจน์ ระบุ







