คุมนำเข้า 'ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์' ต้องมีใบรับรองปลอดเผา สกัด PM2.5

ครม. เคาะคุมนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ปี 69 ต้องมีใบรับรอง 'ปลอดเผา' สกัดวิกฤตฝุ่น PM2.5 ข้ามพรมแดน ดีเดย์ 1 ม.ค. นี้ เพื่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน
วันนี้ (30 ธ.ค. 68) รัฐบาลยกระดับมาตรการสิ่งแวดล้อม คณะรัฐมนตรี (ครม.) อนุมัติร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ กำหนดให้การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ต้องมีหนังสือรับรอง “เกษตรปลอดเผา” หวังตัดต้นตอปัญหาฝุ่นพิษ PM2.5 ข้ามพรมแดน พร้อมหนุนเศรษฐกิจสีเขียว (BCG Model) เริ่มบังคับใช้จริงต้นปีหน้า
ไฮไลท์สำคัญของมาตรการคุมเข้มนำเข้าข้าวโพด
นางสาวอัยรินทร์ พันธุ์ฤทธิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการแก้ปัญหามลพิษทางอากาศอย่างยั่งยืน ครม. มีมติเห็นชอบร่างประกาศกระทรวงพาณิชย์ฉบับใหม่ เพื่อจัดระเบียบการนำเข้า ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (พิกัดศุลกากร 1005.90.99) โดยมีรายละเอียดที่ผู้นำเข้าต้องทราบ ดังนี้
1. ต้องมีหนังสือรับรอง "ปลอดการเผา" (Non-Burning Certificate) ผู้นำเข้าต้องแสดงหลักฐานต่อกรมศุลกากรอย่างใดอย่างหนึ่ง ดังนี้:
- หนังสือรับรองตนเอง (Self-Declaration) : ตามแบบ ขพ.๑ เพื่อยืนยันแหล่งที่มาว่าไม่มีการเผาในกระบวนการผลิต
- เอกสารรับรองจากหน่วยงานรัฐประเทศผู้ส่งออก : หรือสถาบันที่ได้รับการรับรองระดับสากล
2. การขึ้นทะเบียนและรายงานผล
- ผู้นำเข้าต้อง ขึ้นทะเบียน กับกรมการค้าต่างประเทศก่อนดำเนินการ
- ต้องมีการ รายงานการนำเข้า ตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่กำหนดอย่างเคร่งครัด
3. ข้อยกเว้นพิเศษ
- อนุญาตให้นำเข้าได้ในกรณีจำเป็นเพื่อความมั่นคงทางเศรษฐกิจ, สาธารณสุข หรือประโยชน์ของรัฐ โดยต้องผ่านความเห็นชอบจาก คณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.)
- กรณีนำเข้าเพื่อศึกษาวิจัยหรือเป็นตัวอย่างในปริมาณที่เหมาะสม
ทำไมต้องมีมาตรการนี้?
ที่ผ่านมาประเทศไทยได้รับผลกระทบอย่างหนักจากปัญหา ฝุ่น PM2.5 ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการเผาแปลงเพาะปลูกในประเทศเพื่อนบ้าน มาตรการนี้จึงเป็นกลไกสำคัญในการ:
- ลดมลพิษข้ามพรมแดน : กดดันให้กระบวนการผลิตข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในภูมิภาคปรับตัวสู่เกษตรเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
- ปกป้องสุขภาพประชาชน : ลดความเสี่ยงจากโรคระบบทางเดินหายใจที่เกิดจากฝุ่นควัน
- ขับเคลื่อน BCG Model : ส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้าเกษตรไทยที่ยั่งยืนและตรวจสอบย้อนกลับได้
ประกาศฉบับนี้จะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป ทั้งนี้ การดำเนินการดังกล่าวเป็นไปตามอำนาจหน้าที่ของรัฐบาลรักษาการตามมาตรา 169 ของรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเป็นการสานต่อมติเดิมที่มีมาตั้งแต่ก่อนการยุบสภา เพื่อประโยชน์สาธารณะและความต่อเนื่องในการแก้ปัญหาวิกฤตสิ่งแวดล้อม







