'กฎอัยการศึก'ประตูสู่ทางออกประเทศ?

'กฎอัยการศึก'ประตูสู่ทางออกประเทศ?

อาจไม่ได้เหนือความคาดหมายเท่าใดนักกับการประกาศใช้ "กฎอัยการศึก"

โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ที่ประกาศตั้งกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (กอ.รส.) ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ ดำรงตำแหน่ง ผอ.กอ.รส. โดยมีผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหารอากาศ และผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เป็นที่ปรึกษา กอ.รส.

อย่างไรก็ตาม แนวทางการประกาศใช้กฎอัยการศึกของกองทัพมีสัญญาณมาก่อนหน้านี้แล้ว โดยเฉพาะแถลงการณ์ 7 ข้อของ ผบ.ทบ. โดยเฉพาะแถลงการณ์ข้อที่ 5 และข้อที่ 6 ที่ระบุชัดเจนว่า หากมีการใช้อาวุธสงครามต่อประชาชนจนบาดเจ็บล้มตาย และมีแนวโน้มที่จะปะทะกันจนเกิดจลาจลนองเลือด กองทัพอาจจำเป็นต้องใช้กำลังเต็มรูปแบบ และผู้ที่กระทำผิดไม่อาจฟ้องร้องได้ด้วย

แต่คงมีน้อยคนนักที่จะคิดว่า กองทัพจะเลือกใช้กฎอัยการศึกในเชิง "ป้องกัน" ก่อนที่จะเกิดเหตุ เพราะส่วนใหญ่มองว่า ทหารน่าจะรอให้เกิดการปะทะกันก่อนถึงจะออกมา !!

การออกมาแก้ไขปัญหาของประเทศของกองทัพในครั้งนี้ ถือว่าไม่ใช่เรื่องใหม่ เพราะก่อนหน้านี้กองทัพพยายามแสดงบทบาท "ผู้อำนวยความสะดวก" ในการเจรจาหาทางออกประเทศมาก่อน แต่การเจรจาทุกครั้งก็ล้มเหลวมาตลอด แม้จะมีการขอให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม "เสียสละ" มาโดยตลอดก็ตาม

กระทั่งสถานการณ์ของประเทศตกอยู่สภาวะที่ตีบตัน ไม่สามารถเดินหน้าต่อไปได้ ขณะที่มวลชนทั้ง 2 ฝ่ายได้ออกมาชุมนุมแสดงพลังและเกิดเหตุใช้อาวุธสงครามโจมตีผู้ชุมนุม กปปส.เมื่อกลางดึกวันที่ 14 พฤษภาคม ทั้งยังมีแนวโน้มว่าจะมีการใช้อาวุธสงคราม ระเบิด และมีความเสี่ยงที่มวลชนจะออกมาปะทะกัน กองทัพจึงต้องออกโรงมาหยุดยั้งความสูญเสียของประเทศในที่สุด

กำลังหลักในการควบคุมสถานการณ์ของประเทศในครั้งนี้ มาจาก 4 กองพลหลัก ประกอบด้วย 1.กองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) 2.กองพลทหารม้าที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ม.2 รอ.) 3.กองพลทหารราบที่ 2 รักษาพระองค์ (พล.ร.2 รอ.) จ.ปราจีนบุรี และ 4.กองพลทหารราบที่ 9 (พล.ร.9) จ.กาญจนบุรี

ไม่นับกองกำลังทหารที่เคยปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยภายใต้โครงสร้างศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.) จำนวน 57 กองร้อย ดูแลบังเกอร์ 157 จุดทั่ว กทม. ภายใต้การควบคุมสั่งการของ พล.ต.อภิรัชต์ คงสมพงษ์ ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (ผบ.พล.1 รอ.) ในฐานะผู้บัญชาการกองกำลังทหาร

เป็นที่น่าสังเกตว่า ฤกษ์ยามในการประกาศใช้กฎอัยการศึกนั้น เกิดขึ้นในจังหวะเวลาที่บุคคลสำคัญในแวดวงทหาร-ตำรวจเดินทางไปต่างประเทศ และต่างจังหวัดพอดี คือ 1.พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกระทรวงกลาโหม เดินทางไปประชุม รมว.กลาโหมอาเซียน ณ ประเทศพม่า 2.พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร ผู้บัญชาการทหารสูงสุด เดินทางไปราชการต่างประเทศ และ 3.พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ เดินทางไปงานสัมมนาเจ้าหน้าที่ตำรวจระดับผู้บังคับการขึ้นไป ณ อ.ปากช่อง จ.นครราชสีมา

เท่ากับว่า เจ้าหน้าที่ระดับบังคับบัญชากองกำลังในเมืองหลวง โดยเฉพาะ ผบ.ตร. และนายตำรวจระดับสูง ต่างออกนอกพื้นที่โดยพร้อมเพรียงกัน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดีในการเคลื่อนกำลังทหาร เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด และการปะทะกันโดยไม่ได้ตั้งใจของเจ้าหน้าที่รัฐ

กระนั้น แม้จะใช้กำลังมากถึง 4 กองพล ซึ่งเป็นการใช้กำลังขนาดใหญ่ไม่แพ้การรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 แต่กองทัพก็เน้นย้ำมาตลอดว่า การออกมาครั้งนี้เป็นการปฏิบัติหน้าที่ภายใต้กรอบกฎหมาย ไม่ใช่การออกนอกกรอบเหมือนปี 2549 โดยย้ำว่า เป็นการปฏิบัติภารกิจรักษาความสงบของประเทศ ไม่ใช่การยึดอำนาจและตั้งรัฏฐาธิปัตย์

มีรายงานด้วยว่า กองทัพจะใช้เวลาประกาศอัยการศึกให้สั้นที่สุด เพื่อหาทางออกให้ประเทศ และหากประเทศพบทางออกก็จะรีบกลับเข้ากรมกอง เพราะยิ่งนานวันเข้ากองทัพจะกลายเป็น "เป้า" ในการถูกโจมตีเสียเองว่า การออกมาครั้งนี้เป็นการใช้อำนาจของตัวเอง เพื่อ "ซ่อนรูป" ในการเข้ายึดอำนาจ

ยิ่งใช้เวลาปฏิบัติการนานวันเท่าไหร่ก็จะมีความเสี่ยงต่อการถูกต่อต้านมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะหากแนวทางที่ออกมาไม่เป็นผลดีต่อกลุ่ม นปช.และพรรคเพื่อไทย แม้กระทั่งกลุ่ม กปปส.เองก็ตาม

นั่นจึงเป็นเหตุที่น่าเชื่อว่า น่าจะต้องมีการหารือร่วมกันระหว่างเหล่าทัพกับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ กับ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพื่อหาทางออกให้แก่ประเทศ

แต่ที่แน่ๆ คงจะต้องมีการเชิญบรรดาบุคคลสำคัญทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย ว่าที่ประธานวุฒิสภา นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ รวมทั้ง จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. มาร่วมหารือ เพื่อหาทางออกให้แก่ประเทศ

ได้วัดใจกันว่า ใครที่ทำเพื่อบ้านเมือง หรือทำเพื่อพวกพ้องกันก็คราวนี้

ส่วนจะออกมาในสูตรไหน เป็นเรื่องของ "นายกฯ มาตรา 7" หรือ "นายกฯ คนกลาง" หรือไม่ เป็นเรื่องที่ต้องไปว่ากันในที่ประชุม เช่นเดียวกับเรื่องการปฏิรูปประเทศ

แต่ที่แน่ๆ คงจะต้องมีการขอให้แต่ละกลุ่มที่ชุมนุมกันในขณะนี้ ยุติการชุมนุม เพื่อให้สถานการณ์คลี่คลาย ลดแรงเสียดทานลง

การวางกำลังทหารในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และจังหวัดเป้าหมายที่คาดการณ์ว่าจะมีการเคลื่อนไหวของกลุ่มมวลชน ได้แก่ กาฬสินธุ์ แพร่ เชียงใหม่ นครราชสีมา นครนายก ตาก สระแก้ว ผ่านไปด้วยดี ไม่มีการต่อต้านการปฏิบัติหน้าที่ของทหาร รวมทั้งการเรียกข้าราชการระดับสูงจากหน่วยงานต่างๆ มารายงานตัวก็เป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย

ขั้นต่อไปก็คือ การพูดคุยกับบรรดาบุคคลสำคัญที่ว่า ซึ่งจะส่งผลต่อการชุมนุมโดยตรง

แต่หากเหตุการณ์ไม่เป็นอย่างที่คาดหวัง เกิดผลข้างเคียงลุกลามบานปลายไปถึงลุกขึ้นต่อต้าน หรือเกิดการปะทะกันของมวลชน ขั้นนั้นก็อาจเป็นการบีบบังคับให้ทหารจำเป็นเดินออก "นอกกรอบ" ของรัฐธรรมนูญ !!

ต้องจับตาดูกันอย่างใกล้ชิดว่า ภายใน 2-3 วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์จะใช้อำนาจตามกฎหมายที่มีอยู่เพื่อแสวงหาทางออกของประเทศได้หรือไม่ อนาคตประเทศจะเป็นอย่างไร ไม่กี่อึดใจได้รู้กัน