ทางออก'ยูเครน-รัสเซีย' เมินสงคราม-หันพัฒนาศก.

ทางออกยูเครน-รัสเซีย "กษิต"การคว่ำบาตรรัสเซียไม่ใช่ทางออก "ประภัสสร์"ยุคโลกาภิวัฒน์การทำสงครามเกิดได้ยาก เพราะกระทบเศรษฐกิจทั่วโลก
หลังจาก "ไครเมีย" ผนวกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งของ "รัสเซีย" ทั่วโลกต่างจับตาความเคลื่อนไหวของรัสเซียและชาติตะวันตกจากนี้ว่าจะนำไปสู่ภาวะการเกิดสงครามครั้งใหม่หรือไม่ รายการ Business Talk "กรุงเทพธุรกิจทีวี" สนทนากับ กษิต ภิรมย์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และประภัสสร์ เทพชาตรี อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หัวข้อ ชนวน "ยูเครน-รัสเซีย" ก่อสงคราม -วิกฤติการเงินโลกจริงหรือ?
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่าง "ยูเครนและรัสเซีย" ในวันนี้
กษิต กล่าวว่าเป็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเฉพาะพื้นที่ และจะไม่เป็นชนวนลุกลามกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่สาม แต่คงมีผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจบ้าง
สถานการณ์ที่เกิดขึ้นมาจากปัจจัยในอดีตยุคสหภาพโซเวียต ซึ่งในยูเครนมี 2 ฝ่าย คือฝ่ายที่ต้องการเข้าร่วมกับรัสเซีย จากความสัมพันธ์ในประวัติศาสตร์กว่า 1,000 ปี และอีกฝ่ายไม่ต้องการอยู่กับรัสเซียแต่ต้องการใกล้ชิดชาติตะวันตก ในยูเครนยังมีความแตกต่างทางภาษาและศาสนาที่แบ่งออกเป็น 2 ฝ่ายเช่นกัน
ส่วนปัจจัยระดับภูมิภาคคือองค์กรสหภาพยุโรป และนาโต้ ต้องการขยายอุดมการณ์ว่าด้วยเสรีประชาธิปไตยและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ เพื่อความยิ่งใหญ่ของเศรษฐกิจและแนวคิดเสรีนิยม ในกลุ่มประเทศโซเวียตเดิม
ขณะที่ฝ่ายรัสเซีย มีเป้าหมายต้องการรักษาอิทธิพลในเครือข่ายสหภาพโซเวียตเดิม และให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ใกล้ชิดรัสเซีย เพื่อต้องการรักษาผลประโยชน์ด้านความมั่นคง
แนะร่วมมือดูแลยูเครน
กษิต กล่าวอีกว่าช่วง 10 ปีที่ผ่านมา วลาดีมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ได้ประกาศนโยบายที่จะปกป้องผลประโยชน์ในพื้นที่ต่างๆ รอบรัสเซีย เมื่อเกิดความขัดแย้งในยูเครน พบว่าฝ่ายยุโรปและสหรัฐ มีการสนับสนุนฝ่ายต่อต้านรัฐบาลยูเครนอย่างเปิดเผย ทำให้รัสเซีย ส่งทหารเข้ามาเคลื่อนไหวในยูเครน
อย่างไรก็ตามเชื่อว่าสหรัฐ ไม่สามารถตัดสินใจทำสงครามในยูเครนได้ เพราะชาวสหรัฐไม่เห็นด้วย ส่วนสหภาพยุโรป ไม่สามารถเคลื่อนไหวผ่านนาโต้ ได้เช่นกัน
ด้านสงครามเศรษฐกิจ ก็ทำได้ยากจากแต่ละประเทศมีการเชื่อมโยงเรื่องเศรษฐกิจระหว่างประเทศจำนวนมาก โดยยุโรปยังพึ่งพาแหล่งพลังงานและกำลังซื้อจากรัสเซีย ขณะที่รัสเซีย เป็นตลาดอิสระไม่พึ่งพาประเทศอื่นมากนัก
"การคว่ำบาตรรัสเซียไม่ใช่ทางออก แต่แนวทางที่ทั้งสหรัฐ ยุโรป รัสเซีย ควรดำเนินการคือร่วมมือกันดูแลยูเครนหลังจากนี้"
ในอดีตสหภาพโซเวียตมี 15 สาธารณรัฐ ดังนั้นใน 15 ประเทศนี้จะวางตัวเป็นกลางกับรัสเซียและกลุ่มประเทศตะวันตก โดยทุกฝ่ายจะต้องมาพูดคุยนโยบายร่วมกันที่จะพัฒนากลุ่มประเทศอดีตสหภาพโซเวียต ทั้งด้านเศรษฐกิจและความมั่นคง
ยุคโลกาภิวัตน์สงครามเกิดยาก
ประภัสสร์ กล่าวว่าความขัดแย้งครั้งนี้จะไม่กลายเป็นสงครามโลกเพราะการก่อสงครามจะกระทบเศรษฐกิจทั่วโลก เชื่อว่ามหาอำนาจต่างๆ จะไม่พยายามก่อสงครามแน่นอน
ในมุมวิชาการ มองว่าการต่อสู้บนฐานอำนาจในพื้นที่อดีตสหภาพโซเวียตมีมานาน ช่วง 20 ปีที่ผ่านมา หลังจากรัสเซียตกต่ำลงจากยุคสหภาพโซเวียตและแตกประเทศจำนวนมาก ขณะที่ฝั่งตะวันตกได้เข้าไปดึงประเทศต่างๆ ที่เคยเป็นของรัสเซียไปเป็นพวก เริ่มจากยุโรปตะวันออก เป็นสมาชิกอียูและนาโต้ จากนั้นขยายเพิ่มในเขตทะเลบอลติก
ปี 2549 กรณี ยูเครน และจอร์เจีย เข้าเป็นสมาชิกนาโต้ ได้สร้างความไม่พอใจกับรัสเซีย เพราะทั้ง 2 ประเทศ เคยเป็นอาณาเขตของรัสเซียมาก่อน
"มาถึงจุดนี้ ทำให้รัสเซียไม่สามารถทนได้อีกต่อไป จึงพยายามปิดกั้นการรุกคืบของฝ่ายตะวันตก ที่กำลังเข้ามาใกล้เขตอิทธิพลของรัสเซีย ทำให้ในปี 2551 รัสเซียเริ่มบุกจอร์เจีย ซึ่งตะวันตก นาโต้ และสหรัฐ ไม่กล้าเผชิญหน้าทางทหารกับรัสเซีย"
ปัจจุบันรัสเซียกำลังมองหาจังหวะ ที่จะเข้าไปมีอิทธิพลกับเขตอิทธิพลเดิมของรัสเซียอีกครั้ง และเป็นจังหวะที่เกิดความวุ่นวายในไครเมีย ทำให้รัสเซียใช้จังหวะนี้เข้าสู่ไครเมียอีกครั้ง เพราะคนส่วนใหญ่เป็นชาวรัสเซีย ประเด็นที่ต้องจับตาจากนี้ คือ รัสเซียจะรุกคืบเข้าไปยังพื้นที่ตะวันออกของยูเครนอีกหรือไม่
หลังไครเมียมีประชามติผนวกเข้ากับรัสเซียแล้ว ทำให้ฝ่ายฝั่งตะวันตก ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้มากนักในการบีบรัสเซียออกจากไครเมีย รวมทั้งนโยบายคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ อาจเกิดผลกระทบกับยุโรปตะวันตก ที่ต้องนำเข้าน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ จากรัสเซีย
"ยุคโลกาภิวัตน์การทำสงครามเกิดได้ยากขึ้น เพราะกระทบเศรษฐกิจการค้าขายทั่วโลก"
จับตานโยบายเขตอิทธิพลรัสเซีย
ที่ผ่านมา รัสเซีย มองว่าการสูญเสียอิทธิพลในพื้นที่รอบๆ ยุคสิ้นสุดสหภาพโซเวียต เป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่ หลังจากนี้มีความเป็นไปได้หลายแนวทาง ในกรณี "เลวร้าย" คือ รัสเซียยังไม่หยุดที่ไครเมียและเดินหน้าต่อด้วยการยึดพื้นที่ตะวันออกของยูเครน หรือยูเครนทั้งประเทศ ซึ่งอาจก่อวิกฤติการณ์ที่หนักขึ้น อาจเป็นตัวอย่างให้ จีน ดำเนินการตามในพื้นที่ทะเลจีนใต้ ซึ่งกรณีนี้หวังว่าจะไม่เกิดขึ้น
ส่วน"กรณีดี" คือ รัสเซีย หยุดอยู่ที่ไครเมียและชาติตะวันตกป้องปรามไม่ให้ดำเนินการต่อ
"แต่มีความเป็นไปได้ที่รัสเซีย อาจไม่หยุดที่ไครเมีย"
สิ่งสำคัญ คือ ประเทศในพื้นที่รอบรัสเซีย จะต้องปรับนโยบาย ที่จะอยู่ร่วมกับรัสเซีย รวมทั้งฝั่ง ตะวันตก ยุโรป และสหรัฐ ที่ต้องปรับนโยบายใหม่ ลดความก้าวร้าวและแนวทางที่ต้องการลดอิทธิพลของรัสเซีย โดยต้องยอมรับ "เขตอิทธิพลของรัสเซีย" ที่จะไม่เข้าไปก้าวล่วง







