ลุ้นพิพากษาคดีพระวิหาร ไม่ชี้เรื่องดินแดน

ลุ้นคำพิพากษาศาลโลกคดีพระวิหาร ฟันธงศาลไม่ชี้เรื่องเขตแดน
ในวันพรุ่งนี้11พ.ย.ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ศาลโลก จะมีคำพิพากษา"คดีปราสาทเขาพระวิหาร"ที่กัมพูชายื่นขอให้ศาลตีความเรื่องพื้นที่ใกล้เคียงปราสาทตามแผนที่ภาคผนวก1คือ 1:200000 และ จึงเป็นที่จับจ้องว่าศาลโลกจะรับตีความตามที่กัมพูชายื่นคำร้องหรือไม่ เพราะคดีปราสาทเขาพระวิหารศาลได้มีคำพิพากษาไปแล้วตั้งแต่ปี 2505 และศาลจะมีเขตอำนาจตีความหรือไม่ แต่ก่อนหน้านี้กระทรวงต่างประเทศได้สรุปไว้ 4 แนวทางที่ศาลโลกจะมีคำพิพากษา คือ 1.ศาลไม่มีอำนาจตีความ หรือหากศาลเห็นว่ามีอำนาจก็ไม่เห็นว่าจำเป็นต้องตีความ 2.ศาลตัดสินให้ประโยชน์แก่กัมพูชา ถือเป็นกรณีเลวร้ายที่สุด 3.ศาลตัดสินให้ประโยชน์แก่ไทย (เป็นไปตามเส้นมติคณะรัฐมนตรี ปี 2505 ของไทย) และ 4.ตัดสินออกกลางๆ ในแง่กฎหมายแล้วให้ทั้งคู่ไปเจรจาเรื่องเขตแดนกันเอง
วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ นักวิชาการอิสระ อธิบายถึงแนวทางคำพิพากษาของศาลโลกว่า คำพิพากษาคดีปราสาทเขาพระวิหารจะมีอยู่ 3 ขั้นตอน คือ 1.ศาลโลกมีเขตอำนาจตามมาตรา 60 ของธรรมนูญศาลหรือไม่ 2.เนื้อหาของคำร้องฝ่ายกัมพูชาเข้าเงื่อนไขที่ศาลจะต้องนำมาตีความเพิ่มหรือไม่ โดยในข้อนี้มีอยู่ 3 ประเด็นย่อยคือ1.พื้นที่ใกล้เคียงบริเวณรอบตัวปราสาท (vicinity)มีความหมายอย่างไร 2.ไทยถอนทหารออกจากพื้นที่แล้วหรือไม่ 3.แผนที่มีสถานะตามกฎหมายหรือไม่ ดังนั้นทั้ง 3 ข้อศาลไม่จำเป็นจะต้องตีความทั้งหมดก็ได้ หรืออาจหยิบข้อใดข้อหนึ่งมาตีความ
และ 3. คำร้องเข้าเงื่อนไขอะไรบ้าง ถ้าเข้าเงื่อนไขเฉพาะเรื่อง vicinity กับเรื่องการถอนทหารแต่เรื่องของแผนที่ไม่เข้าเงื่อนไข
"ศาลท่านอาจวินิจฉัยว่าพื้นที่ที่ต้องถอนทหาร คือ บริเวณใกล้ตัวปราสาท vicinity ที่ไทยเคยส่งทหารเข้าไปประจำการอยู่ แต่ขณะนี้บริเวณใกล้ตัวปราสาท หรือ vicinity ไม่มีทหารไทยไปประจำการอยู่ซึ่งหมายความว่าศาลจะไม่ตีความเรื่องแผนที่ตามที่กัมพูชายื่นคำร้อง"
"ผมไม่เชื่อว่าศาลจะมีคำพิพากษาเรื่องแผนที่ภาคผนวก1 คือ 1: 200000 ที่กัมพูชายื่นคำร้อง แต่เชื่อว่าศาลนำเรื่องพฤติกรรมของคู่กรณีที่เกิดขึ้นในคำพิพากษาเดิมเมื่อปี2505 มาพิจารณา คือ กรณีที่ไทยได้ถอนทหารออกจากพื้นที่รอบตัวปราสาทแล้ว และ ถ้าศาลตีความเพียงเท่านี้ทุกอย่างก็จบ"
แต่ถ้าศาลตีความเรื่องแผนที่ ศาลอาจบอกว่าเรื่องแผนที่ไม่ได้อยู่ในคำพิพากษาเดิมหรือตีความว่าแผนที่ภาคผนวก 1ไม่มีผลผูกพันตามกฎหมาย
และเชื่อว่าหากศาลไม่รับตีความเรื่องแผนที่และเขตแดน โดยท่านอาจให้เหตุผลว่าไทยกัมพูชามีข้อตกลงร่วมกัน คือการบันทึกความเข้าใจระหว่าง ไทย-กัมพูชา ว่าด้วยการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดนทางบก ปี พ.ศ. 2543 (เอ็มโอยู 2543) ซึ่งแสดงให้เห็นความตั้งใจว่าทั้ง 2 ประเทศได้ตกลงจัดการเรื่องเขตแดนร่วมกันแล้ว
วีรพัฒน์ กล่าวต่อว่า สิ่งที่ต้องจับตาหลังจากศาลมีคำพิพากษาในวันที่ 11 พ.ย.คือ การเดินเกมส์ในเวทีมรดกโลก เพราะกัมพูชาได้ยื่นเรื่องปราสาทเขาพระวิหารเป็นมรดกโลกไปแล้ว แต่ตัวปราสาทเป็นมรดกโลกเดี่ยวๆไม่ได้จะต้องมีพื้นที่โดยรอบ ซึ่งประเด็นนี้ในที่ประชุมคณะกรรมการมรดกโลก(ยูเนสโก)ยังไม่มีข้อยุติ เนื่องจากปราสาทเขาพระวิหารถูกนำไปอยู่กระบวนการพิพากษาในเวทีศาลโลก
แต่ถ้าศาลมีคำพูดอะไรออกมากัมพูชาอาจนำคำพูดของศาลไปบอกในเวทีคณะกรรมการมรดกโลกก็ได้ ไม่ว่าศาลจะตีความมาแนวไหนก็ตาม อาจนำคำพูดของผู้พิพากษารายบุคคลไปอ้างเพื่อสนับสนุนว่าปราสาทอยู่ตรงไหนพื้นที่การบริหารจัดการก็อยู่ตรงนั้น คือ พื้นที่ 4.6 ตารางกิโลเมตร แต่สนธิสัญญาของคณะกรรมการมรดกโลก ระบุว่า การจัดบริเวณมรดกโลกไม่กระทบเรื่องเขตแดนทั้งสิ้น และ กฎหมายระหว่างประเทศที่ว่าด้วยมรดกโลก ระบุว่า ทรัพย์สินที่ขึ้นเป็นมรดกโลกไม่ใช่ทรัพย์สินของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เป็นทรัพย์สินของคนทั่วโลก
"สมมุติว่าคณะกรรมการมรดกโลกมีมติให้จัดพื้นที่การจัดการบริเวณตัวปราสาท 4.6 ตารางกิโลเมตร ถามว่าไทยเสียอธิปไตยหรือไม่ ตามกฎหมายแล้วไม่เสียอธิปไตยเพราะในสนธิสัญญาคณะกรรมการมรดกโลกระบุไว้ชัดเจนแล้ว"
ส่วนก่อนหน้านี้รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้ถอนตัวจากคณะกรรมการมรดกโลกไปแล้วนั้น วีรพัฒน์ บอกว่า ขณะนั้นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพย์กรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ประกาศว่าจะถอนตัว แต่รัฐบาลในขณะนั้นก็ไม่ได้ส่งหนังสือว่ายืนยันว่าได้ถอนตัวจากคณะกรรมการมรดกโลก ไทยจึงยังอยู่ในคณะกรรมการด้วย และถ้าครั้งนั้นเราถอนตัวก็จะไม่มีสิทธิออกเสียงในคณะกรรมการมรดกโลก
สุดท้ายเราต้องพูดให้ชัดเจนว่ากัมพูชาจะนำคำพิพากษาไปอ้างในเวทีมรดกโลกหรือไม่ และไทยจะหยิบคำพูดของศาลโลกไปอ้างในเวทีคณะกรรมการมรดกโลกอย่างไร แต่สิ่งที่ควรจะทำคือการเจรจาเพื่อบริหารหารจัดการปราสาทเขาพระวิหารร่วมกัน
คำพิพากษาศาลโลกเมื่อปี 2505
1.ปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนกัมพูชา
2.ให้ไทยนำทหารออกจากบริเวณใกล้เคียงของปราสาท
3.ให้ไทยนำวัตถุโบราณที่อยู่ในบริเวณปราสาทคืนให้กับกัมพูชา







