ทนายสุวัตรเข้าพบ'คำรณวิทย์'แจงข้อสงสัย

ทนายสุวัตรเข้าพบ'คำรณวิทย์'แจงข้อสงสัย

ทนายสุวัตรเข้าพบ"คำรณวิทย์"แจงข้อสงสัยปมอุ้มฆ่า"เอกยุทธ"ตำรวจแจ้ง 5 ข้อหาหนัก"เบิ้ม" ร่วมฆ่า พร้อมนำตัวส่งศาลฝากขัง

พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผบช.น.รับผิดชอบงานด้านการสอบสวน กล่าวว่า สั่งการให้ฝ่ายสอบสวนหาพยานหลักฐานเพิ่มเติมคดีฆ่านายเอกยุทธ อัญชันบุตร ทั้งพยานบุคคล พยานวัตถุ ผลตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์ มาประกอบคดี พร้อมขยายผลหาผู้เกี่ยวข้องหากพบโยงถึงใครก็จะดำเนินการจับกุมดำเนินคดีทันที พร้อมติดตามค้นหา เซิร์ฟเวอร์กล้องวงจรปิดบ้านนายเอกยุทธ และภาพจากกล้องวงจรปิดอื่นๆ รอบจุดเกิดเหตุ และเส้นทางลงพื้นที่ จ.พัทลุง เพื่อนำมาประกอบสำนวนคดี

รองผบช.น.กล่าวยืนยันว่า คดีนี้คณะทำงานสืบสวนสอบสวน ทำอย่างตรงไปตรงมา มีนายตำรวจผู้ใหญ่เข้ามาดูแลใกล้ชิด และทำงานหลายฝ่ายเป็นไปตามกฎหมาย และเชิญ พญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม มาร่วมสังเกตการณ์ด้วย พร้อมเปิดรับข้อมูลทุกด้าน เพื่อคลี่คลายความสงสัย ส่วนข้อสังเกตกรณีผู้ต้องหาให้การซัดทอดไปมา และให้การไม่ตรงกันนั้น เป็นสิทธิ์ของผู้ต้องหาที่จะให้การอย่างไรก็ได้ ซึ่งต้องต่อสู้กันไปตามกระบวนการขั้นตอนกฎหมาย โดยพนักงานสอบสวน สน.วังทองหลวง ได้ควบคุมตัวนายสุทธิพงศ์ หรือ (เบิ้ม) พิมพิสาร ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฆ่านายเอกยุทธ ไปยื่นคำร้องเพื่อขอฝากขังต่อศาลอาญาผัดแรกแล้วเป็นเวลา 12 วัน เนื่องจากการสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น และรอผลการตรวจชันสูตร วัตถุพยาน และเอกสารอื่นๆ

ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้แจ้งข้อกล่าวหาฉกรรจ์ 5 ข้อหาคือ ร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีและใช้อาวุธ จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย, ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน, ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด หรือไม่กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด, ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกาย จนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย และร่วมกันซ่อนเร้น ทำลายศพ เพื่อปิดบังการตาย โดยท้ายคำร้องพนักงานสอบสวน คัดค้านการประกันตัวผู้ต้องหาด้วย เนื่องจากผู้ต้องหามีที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง ประกอบกับ คดีมีอัตราโทษสูง หากปล่อยชั่วคราว เกรงผู้ต้องหาจะหลบหนี

"อภิสิทธิ์"จี้ตำรวจตอบปมพิรุธ

ด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าวถึงกรณีการสอบสวนคดีการเสียชีวิตของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ว่า รู้สึกเป็นห่วงมาตรฐานกระบวนการสอบสวนในคดีนี้ ทั้งการนำผู้ต้องสงสัยมาแถลงข่าวในวันแรก และการให้สัมภาษณ์ของร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี รวมถึงการให้ปากคำของผู้ต้องหาก็มีความขัดแย้งกัน ถ้าร.ต.อ.อยากจะเชิญผู้ที่สงสัยมาร่วมทำคดีนี้ คงต้องเชิญผู้ที่สงสัยเป็นหมื่นเป็นพันมาด้วย

นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ทั้งนี้ อยากให้ร.ต.อ.เฉลิมทำหน้าที่ของตัวเองดีกว่า เพื่อให้การสอบสวนเป็นมืออาชีพ ไม่ใช่หน้าที่ของร.ต.อ.เฉลิมจะไปสั่งการในเรื่องต่างๆได้ เพราะสรุปแล้วร.ต.อ.เฉลิมจะเป็นหัวหน้าพนักงานสอบสวนหรือไม่ เนื่องจากอาจจะผิดรัฐธรรมนูญในการเข้าไปแทรกแซงการทำงานของเจ้าหน้าที่ได้ อย่างไรก็ตาม จากข้อสัยสัยในคดีนี้จากหลายฝ่าย ตนอยากให้เจ้าหน้าที่ตำรวจชี้แจงให้ชัดเจน

นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ส่วนกรณีที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) เตรียมส่งสำนวนคดีการสลายการชุมนุมเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตเมื่อปี 2553 ส่งฟ้องต่ออัยการวันที่ 26 มิถุนายนนั้น ตนจะเดินทางไปตามกระบวนการ โดยจะใช้สิทธิร้องขอความเป็นธรรมกับอัยการ ภายหลังได้ยื่นฟ้องอาญากับนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอไปแล้ว

ปธ.กมธ.ตร.จ่อเรียกจนท.แจงคดี"เอกยุทธ"

นายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ ประธานคณะกรรมาธิการการตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวกรณีที่ดุสิตโพลระบุว่า ประชาชนอยากรู้ว่าคดีของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร อดีตนักธุรกิจการเงินและอสังหาริมทรัพย์ และเจ้าของเว็บไซต์ไทยอินไซเดอร์ มีเงื่อนงำอะไรหรือไม่ว่า กำลังดูว่าเจ้าหน้าที่จะโยงหลักฐานต่าง ๆ ทั้งหมดว่าจะไปอย่างไร ซึ่งมีหลายประเด็นที่ตนสงสัยเช่น เซิฟเวอร์ของกล้องวงจรปิดกลับถูกถอดออกไป ทำไมเจ้าหน้าที่ตำรวจไม่พยายามหา เพราะถ้าดูจากตรงนี้ก็จะสามารถรู้ตัวผู้ต้องหาที่แท้จริงว่าเป็นใคร ส่วนคำให้การของนายเบิ้มที่เพิ่งจะเข้ามอบตัว ก็มีความขัดแย้งกันอยู่มากและสังคมยังเคลือบแคลงสงสัยมาก โดยเฉพาะแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม ระบุชัดเจนแล้วว่าเป็นการฆาตกรรมอำพราง ซึ่งตนก็เห็นเช่นเดียวกับแพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์

ที่สำคัญคือตำรวจจะสรุปเร็วไปไม่ได้ว่าเป็นการปล้นทรัพย์ เพราะถ้าปล้นทรัพย์แล้วจะนำทรัพย์ไปทิ้งเพื่ออำพรางคดีทำไม ขณะที่ปล้นแล้วยังต้องบังคับให้เซ็นต์เช็คอีก ดูแล้วไม่น่าจะเป็นการปล้นทรัพย์ เรื่องนี้เป็นประเด็นที่เราสงสัยทั้งหมดและ อย่างไรก็ตามกรรมาธิการกำลังดูอยู่ว่าอาจจะต้องเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมาชี้แจง ตามอำนาจหน้าที่ที่สามารถทำได้

ผู้สื่อข่าวถามว่า มองว่าเจ้าหน้าที่ตัดประเด็นเรื่องการเมืองทิ้ง เร็วไปหรือไม่ นายสมชาย กล่าวว่า น่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องการเมืองด้วย เพราะนายเอกยุทธชอบวิพากษ์วิจารณ์เรื่องการเมือง ตนจึงไม่เชื่อว่าเป็นการปล้นทรัพย์อย่างเดียว

ตำรวจหิ้ว"เบิ้ม"ฝากขัง

ร.ต.ท.ณฐพล ดีผลงาม พนักงานสอบสวน สน.วังทองหลวง ได้นำตัวนายสุทธิพงศ์ หรือเบิ้ม พิมพิสาร อายุ 27 ปี ชาว จ.พัทลุง ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฆ่านายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจด้านการเงิน และอสังหาริมทรัพย์ มายื่นคำร้องต่อศาลฝากขังครั้งแรก

โดยระบุพฤติการณ์สรุปว่า เมื่อระหว่างวันที่ 6 - 9 มิ.ย. 2556 เวลากลางคืน ผู้ต้องหา กับพวกอีก 3 คนที่ฝากขังต่อศาลแล้ว ได้บังอาจร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างกัน โดยแบ่งหน้าที่กันทำด้วยการวางแผน และตกลงร่วมใจกันมาก่อนที่จะปล้นทรัพย์นายเอกยุทธ ผู้ตาย โดยใช้อาวุธปืนขนาด . 38 ของนายเอกยุทธ จี้ ขู่บังคับ ประทุษร้าย กักขัง หน่วงเหนี่ยวนายเอกยุทธ ในรถตู้ยี่ห้อ โฟล์ค สีดำ ทะเบียน ฮพ 9304 กทม. จากร้านอาหารครัวกระแต ย่านสะพานควาย แล้วขับรถคันดังกล่าว คุมตัวนายเอกยุทธ ไปกักขังหน่วงเหนี่ยวไว้ที่ชั้น 2 บ้านพักเลขที่ 1213/360 ย่านทาวน์อินทาวน์ ของนายเอกยุทธ ต่อเนื่องถึงบ้านเลขที่ 339/226 หมู่บ้านราชพฤกษ์ แขวงลำปลาทิว เขตลาดกระบัง กทม บ้านพี่สาวนายสันติภาพ หรือบอล เพ็งด้วง คนขับรถ ผู้ต้องหาร่วม เพื่อเจตนาให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินของนายเอกยุทธ

ต่อมาผู้ต้องหากับพวกอีก 3 คน ได้ร่วมกันบังคับขู่เข็ญให้นายเอกยุทธลงลายมือชื่อในเช็คของธนาคารไทยพาณิชย์ฯ สาขาศรีวรา สั่งจ่ายเงินจำนวน 1.5 ล้านบาทและออกเช็ค ธนาคารกรุงศรีอยุธยาฯ สาขาทองหล่อ รวม 2 ฉบับสั่งจ่ายเงินจำนวน 1.7 ล้านบาท และ 1.8 ล้านบาทตามลำดับ รวมเป็นเงิน 5 ล้านบาท จนผู้ต้องหาได้ร่วมกันนำเงินจำนวน 5 ล้านบาทเป็นของตนเองโดยทุจริต จากนั้นผู้ต้องหา กับพวกได้ร่วมกันฆ่านายเอกยุทธ โดยใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อปกปิดความผิดที่กระทำไว้ข้างต้น แล้วแจ้งให้พวก จัดเตรียมสถานที่ฝังศพเป็นที่ดินรกร้าง ต.เขาจิงโจ้ อ.เมือง จ.พัทลุง เพื่อปิดบังซ่อนเร้นการตายของนายเอกยุทธ ก่อนหลบหนีไป

เหตุเกิดที่แขวงบางซื่อ เขตจตุจักร, แขวงพลับพลา เขตวังทองหลาง , แขวงลำปลาทิว เขตลาดกระบังที่ จ.พัทลุง และที่อื่นต่อเนื่องเกี่ยวพันกัน

ต่อมาผู้ต้องหาได้เข้าพบ และมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจชุด ส่งพนักงานสอบสวน สน.วังทองหลางดำเนินคดี ข้อหาร่วมกันปล้นทรัพย์โดยมีและใช้อาวุธ จนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย , ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนาและไตร่ตรองไว้ก่อน , ร่วมกันข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด หรือ ไม่กระทำการใด หรือ จำยอมต่อสิ่งใด , ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้อื่นให้ปราศจากเสรีภาพในร่างกายจนเป็นเหตุให้ผู้นั้นถึงแก่ความตาย, พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ ร่วมกันลอบฝัง ซ่อนเร้น ทำลายศพ

ในชั้นสอบสวนผู้ต้องหา ให้การภาคเสธ ในข้อหา ร่วมกันฆ่าผู้อื่น ส่วนข้อหาอื่นให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา

บัดนี้พนักงานสอบสวนได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาจะครบกำหนดแล้วแต่การสอบสวนยังไม่เสร็จสิ้น จะต้องสอบปากคำพยานเพิ่มเติมอีก 20 ปาก , รอผลการตรวจสอบประวัติการต้องโทษของผู้ต้องหาจากกองทะเบียนประวัติอาชญากร , รอผลการตรวจชันสูตรศพ, รอผลการตรวจสถานที่เกิดเหตุและวัตถุพยาน จากกองพิสูจน์หลักฐาน , รอผลการพิสูจน์ เอกลักษณ์และลักษณะของดีเอ็นเอ ของศพ และเอกสารอื่นๆ ด้วยความจำเป็นดังกล่าวจึงขอฝากขังผู้ต้องหาไว้เป็นเวลา 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 15 - 26 มิ.ย. นี้

ท้ายคำร้องพนักงานสอบสวนขอคัดค้านการประกัน เนื่องจากผู้ต้องหามีที่อยู่ไม่เป็นหลักแหล่ง ทั้งคดีมีอัตราโทษสูง หากปล่อยชั่วคราว เกรงผู้ต้องหาจะหลบหนี

ศาลพิจารณาคำร้องและสอบถามผู้ต้องหาแล้วไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้ฝากขังได้ .

ต่อมาเวลา 12.30 น. เจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์ได้นำตัวนายสุทธิพงศ์ ขึ้นรถบัสของเรือนจำไปควบคุมไว้ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ โดยระหว่างเดินขึ้นรถนายสุทธิพงศ์ มีสีหน้าสบาย ๆ พร้อมกับบอกบิดา มารดาที่เดินทางมาให้กำลังใจ เป็นภาษาปักษ์ใต้ว่า ไม่เป็นไร ให้พ่อกับแม่ดูแลตัวเองด้วย

พท.อัด"อภิสิทธิ์-หมอพรทิพย์"

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองโฆษกพรรคเพื่อไทย แถลงถึงคดีการเสียชีวิตของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจชื่อดัง ว่า ความคืบหน้าในคดีมีความชัดเจน เจ้าหน้าที่ตำรวจได้คลี่คลายคดี ซึ่งหลายภาคส่วนสามารถแสดงความสงสัยได้ แต่การแสดงความเห็นผ่านสื่อต้องระมัดระวัง เช่น กรณีของพญ.คุณหญิงพรทิพย์ ​โรจนสุนันท์ ผู้ตรวจราช​การ กระทรวงยุติธรรม และอดีตผอ.สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ และนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่แสดงความคิดเห็น ซึ่งอาจทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจหมดกำลังใจ เมื่อกล้าออกมาแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อแล้ว เมื่อพนักงานสอบสวนเชิญไปให้ข้อมูล

ดังนั้นเมื่อกล้าพูดแล้วก็ต้องกล้าไปให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ด้วย ไม่ใช่แสดงความเห็นเสร็จ พอเจ้าหน้าที่ตำรวจขอความร่วมมือ กลับออกมาบอกว่าไม่มีอำนาจและไม่มีหน้าที่ ไม่ยอมให้ความร่วมมือ การกระทำแบบนี้จะทำให้เกิดความขัดแย้งและประชาชนเกิดความสงสัยว่า การแสดงท่าทีดังกล่าวในข้อกังขานั้นมีวาระแอบแฝงเพื่อทำลายล้างกลุ่มใดทางการเมืองหรือไม่ อย่างไรก็ตาม คดีดังกล่าวมีความชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา แต่ทุกคนก็มีสิทธิสงสัยได้ เมื่อสงสัยผ่านสื่อแล้วต้องรับผิดชอบและให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อคลายข้อสงสัยของท่านด้วย

ทนายสุวัตรเข้าพบ"คำรณวิทย์"แจงข้อสงสัยปมอุ้มฆ่า

นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร พร้อมด้วยนายนิติธร ล้ำเหลือ และทีมทนายความรวม 5 คน เดินทางเข้าพบ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผบช.น. พล.ต.ต.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบก.น.4 และพ.ต.อ.สรรค์หกิจ บำรุงสุขสวัสติ ผกก.สน.วังทองหลาง เพื่อสอบถามความเกี่ยวกับคดีที่จับกุมคนร้ายอุ้มฆ่านายเอกยุทธ เนื่องจากทีมทนายไม่ปักใจเชื่อว่าถูกอุ้มฆ่าเพื่อต้องการฆ่าชิงทรัพย์ และคดีน่าจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง

ต่อมาโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ สน.วังทองหลาง ได้ควบคุมตัวนายสุทธิพงศ์ หรือเบิ้ม พิมพิสาร อายุ 27 ปี ผู้ต้องหาหนึ่งในทีมอุ้มฆ่านายเอกยุทธ มาที่ห้องทำงานผบช.น. เพื่อเปิดโอกาสให้ทีมทนายความซักถามนายสุทธิพงศ์ ซึ่งนายสุทธิพงศ์ มีสีหน้าเรียบเฉยไม่มีอาการอิดโรย หรือมีทีท่าสะทกสะท้าน เมื่อพบหน้ากันแบบนั่งประจันหน้ากับทีมทนายความของนายเอกยุทธ โดยในวันนี้ไม่มีญาติของนายเอกยุทธ เข้าร่วมรับฟังแต่อย่างใด โดยทีมทนายได้ใช้เวลาในการซักถามนานถึงประมาณ 2 ชั่วโมง

จากนั้น พล.ต.ต.อนุชัย ได้นำตัวนายสุทธิพงศ์ ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพ ตามที่ทีมทนายความตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับเหตุการณ์บนรถตู้โฟล์ค โดยจำลองเหตุการณ์ขณะที่นายสุทธิพงศ์หลบซ่อนตัวอยู่ภายในรถ โดยมีนายสุวัตร อภัยภักดิ์ และทีมทนายความคอยร่วมสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด

จุดแรกเป็นจุดที่นายสุทธิพงศ์ ขึ้นมาอยู่บนรถตู้ โดยหลบมุดซุกซ่อนตัวอยู่ที่บริเวณเบาะหน้า ด้านข้างคนขับ และแอบอย่างมิดชิดเพื่อไม่ให้นายเอกยุทธมองเห็น จากนั้นนายเอกยุทธก็ได้ขึ้นมาบนรถตู้โดย โดยนั่งอยู่ที่บริเวณเบาะนั่งผู้โดยสารแถวแรกฝั่งซ้ายมือ ต่อมานายสันติภาพ ก็ได้เปิดกระจกตรงกลางรถที่คั่นระหว่างห้องผู้โดยสารและห้องคนขับ พร้อมใช้อาวุธปืนข่มขู่นายเอกยุทธให้นอนคว่ำหมอบลงไปกับเบาะ ก่อนที่นายสุทธิพงศ์จะลุกจากที่ซ่อนตัว ปีนข้ามช่องกระจกไปยังห้องผู้โดยสาร เพื่อทำการจับกุมตัวนายเอกยุทธ โดยนายสันติภาพเป็นคนที่จับนายเอกยุทธใส่กุญแจมือ

เมื่อทีมทนายความของนายเอกยุทธ ซักถามว่า แหวนของนายเอกยุทธ ตกหล่นอยู่ตรงบริเวณใด พล.ต.ต.อนุชัย ได้ชี้แจงว่า มีพยานพบเห็นแหวนของนายเอกยุทธ ตกอยู่ที่บริเวณช่องซอกด้านล่างของประตูรถฝั่งซ้าย ก่อนจะนำมาใส่ที่บริเวณคอลโซลรถด้านหน้า

ทีมทนายความของนายเอกยุทธ ยังได้ถามอีกว่า ระหว่างที่นายเอกยุทธอยู่บนรถ นายสุทธิพงศ์ซ่อนตัวอย่างไร พร้อมกับส่งนายนิติธร เป็นตัวแทนขึ้นไปนั่งจำลองเป็นนายเอกยุทธอยู่บนเบาะ โดยให้นายสุทธิพงศ์หลบอยู่ใต้เบาะด้านหน้า ซึ่งทีมนายความตั้งข้อสังเกตว่านายเอกยุทธ น่าจะมองเห็นหรือสังเกตได้ แต่นายสุทธิพงศ์ กล่าวว่า ช่วงที่กำลังปีนข้ามไปนั้น นายสันติภาพได้ใช้ปืนขู่นายเอกยุทธให้หมอบคว่ำไปกับเบาะแล้ว

จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวนายสุทธิพงศ์ ไปฝากขังต่อศาลอาญารัชดาโดยทันที เนื่องจากวันหยุดราชการศาลเปิดทำการเพียงครึ่งวันเท่านั้น โดยใช้เวลาในการทำแผนประกอบคำรับสารภาพประมาณเพียงแค่ 5 นาที เท่านั้น

ด้านนายสุวัตร เปิดเผยว่า ต้องขอบคุณ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ผบช.น. และทีมสืบสวนทุกคน ที่ร่วมกันทำคดีอย่างเต็มที่ การพบศพของนายเอกยุทธ ถือเป็นหัวใจสำคัญของคดีนี้ แต่เมื่อพบศพแล้วหน้าที่ต่อไปของพนักงานสอบสวนก็คือ จะต้องหาเหตุผลประกอบ เนื่องจากคำให้การรับสารภาพของผู้ต้องหา เมื่อไปถึงศาลอาจจะทำให้ศาลยกฟ้อง เพราะคำรับสารภาพนั้นปราศจากเหตุผล อีกทั้งหลังจากที่นายสันติภาพ ถูกจับกุมตัวได้ก็ให้ปากคำโกหกพนักงานสอบสวนและทนายความมาตลอด โดยทางพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ก็ได้ให้ทนายความเข้าไปรับฟังการสอบสวนด้วยตลอดเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ การเข้าไปร่วมสอบปากคำด้วยจึงเป็นที่มาของการพบศพของนายเอกยุทธ โดยหลังจากนี้จะส่งรายละเอียดเกี่ยวกับประเด็นข้อสงสัยต่างๆให้กับหัวหน้าพนักงานสอบสวนเป็นรายลักษณ์อักษรว่ามีอะไรบ้าง แต่ขอยังไม่เปิดเผยกับสื่อมวลชน โดยจะรอให้เกิดความชัดเจนก่อน เช่น ทรัพย์สินที่เหลือต่างๆอยู่ที่ไหน หากประสงค์ต่อทรัพย์ เหตุใดจึงนำไปโยนทิ้ง และคำให้การของนายสันติภาพที่ให้การไว้ก็ไม่มีเหตุผล

นายสุวัตร กล่าวอีกว่า หากพนักงานสอบสวนได้รายละเอียดจากตน จะรู้ว่ามีผู้ร่วมขบวนการที่ก่อเหตุในกรุงเทพฯจำนวนกี่คน มีเพียงแค่นายสันติภาพและนายสุทธิพงศ์เท่านั้นจริงหรือไม่ ก่อนหน้านี้นายสันติภาพให้การว่าใช้อาวุธปืนยิงนายเอกยุทธ ต่อมาก็กลับคำให้การว่าบีบคอ จึงต้องดูสภาพศพ ซึ่งผลการชันสูตรได้ระบุออกมาชัดเจนแล้วว่าขาดอากาศหายใจ ตาถลน ลิ้นจุกปาก จึงได้ข้อสรุปแน่ชัดว่าเป็นการฆ่าโดยบีบคอ ส่วนประเด็นอื่นๆจะทำการหาพยานหลักฐานต่อไป

ด้านนายนิติธร กล่าวว่า สำหรับประเด็นข้อสงสัยต่างๆในวันนี้ได้มีการซักถามและให้คำตอบ ซึ่งผู้ต้องหาทั้งสองคนให้ปากคำไปในทิศทางเดียวกัน แต่มีบางจุดยังให้การขัดแย้งกันอยู่ ขณะนี้เหลือเพียงไม่กี่ประเด็น คาดว่าเร็วๆนี้จะสรุปร่วมกันได้อีกครั้งหนึ่ง

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ยังมองว่าปมการสังหารนายเอกยุทธเป็นเรื่องการเมืองหรือไม่ นายนิติธร กล่าวว่า ยังไม่ตัดทุกประเด็น โดยตั้งประเด็นหลักไปที่การก่อเหตุอุ้มนายเอกยุทธครั้งนี้ มีผู้ก่อเหตุเพียงแค่ 2 คน คือนายสันติภาพและนายสุทธิพงศ์หรือไม่ ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม

เมื่อถามว่าญาติของนายเอกยุทธ ยังสงสัยในประเด็นใดหรือไม่ นายสุวัตร กล่าวว่า ทางญาติบางคนของนายเอกยุทธไม่อยากสู้คดี เนื่องจากยังอยู่ในสภาพหวาดกลัว และเมื่อพบศพของนายเอกยุทธแล้ว ทางญาติก็มุ่งไปที่เรื่องการทำบุญสร้างกุศล ส่วนคดีความใครถามอะไรก็ไม่มีความเห็น บางคนก็อยากให้เรื่องจบไป แต่ก็ยังไม่เป็นเอกภาพ เพราะพี่สาวกับน้องสาวมองว่าควรจะหยุด ส่วนพี่ชายกับลูกชายก็มีความเห็นเป็นอีกอย่าง ดังนั้นตนจึงให้ทางญาติๆของนายเอกยุทธตกลงกันให้เรียบร้อยก่อน เราเป็นทนายมีหน้าที่ทำตามที่ได้รับมอบหมายจากลูกความ ถ้าหากต้องการให้หยุดดำเนินการก็ต้องหยุด แต่ทีมทนายเชื่อในความบริสุทธิ์ของพนักงานสอบสวนชุดนี้ว่าจะไม่มีการบิดเบือนหรือรีบปิดคดี เพราะมีส่วนร่วมในการสอบสวนมาตลอดและได้รับความร่วมมือจากตำรวจอย่างดี

เมื่อถามว่าทีมทนายความยังยืนยันเรื่องที่คิดว่ามีเสธ. คนดังเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่หรือไม่ นายสุวัตร กล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวได้บอกกับพนักงานสอบสวนไปแล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะอาจจะถูกฟ้องหมิ่นประมาทได้ ต้องรอให้มีพยานหลักฐานชัดเจน ตนคิดว่าไม่น่าจะเกินความสามารถของพนักงานสอบสวนแน่นอน

เมื่อถามว่าเชื่อในคำให้การของนายสันติภาพและนายสุทธิพงศ์หรือไม่ว่าลงมือกันเพียงแค่สองคนหรือไม่ นายสุวัตร กล่าวว่า ไม่เชื่อ โดยเฉพาะนายสันติภาพซึ่งโกหกมาตลอด เมื่อถึงคราวจำเป็นถึงได้ยอมรับสารภาพ จากนั้นก็โกหกเรื่องใหม่อีก เช่นประเด็นที่ให้การว่าเอาสร้อยไปโยนทิ้งน้ำ ทั้งๆที่ลงมือก่อเหตุคดีสำคัญมีโทษถึงประหารชีวิต แต่กลับเอาสร้อยไปโยนทิ้ง สิ่งเหล่านี้ไม่มีสาเหตุที่ทำให้เชื่อได้

เมื่อถามถึงกรณีที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า อยากให้มีการเปลี่ยนตัว ผบช.น. เพื่อความโปร่งใสในคดี เพราะนายเอกยุทธเคยมีคดีที่ฟ้องหมิ่นประมาทกันอยู่ นายสุวัตร กล่าวว่า หลังจากที่ญาติแจ้งความที่สน.วังทองหลาง ซึ่งขึ้นตรงกับบช.น. ตนและญาติอีกส่วนหนึ่งก็ไปแจ้งความที่กองบังคับการปราบปราม ทั้งสองที่ก็นำข้อมูลมาบูรณาการร่วมกัน ส่วนการที่นายสนธิมีความเห็นดังกล่าวออกมาก็เป็นเรื่องของเขา ตนจะทำคดีนี้ตามความเห็นของญาตินายเอกยุทธ ไม่ใช่ความเห็นของนายสนธิ เพราะหากญาติของนายเอกยุทธยังคลางแคลงใจสงสัยในเรื่องใด ตนก็ต้องดำเนินการ

นายสุวัตร กล่าวด้วยว่า ในส่วนคดีที่นายเอกยุทธฟ้องผบช.น. และตำรวจนายอื่นๆที่เป็นพนักงานสอบสวนอีก 5 นายนั้น ขณะนี้ญาติของนายเอกยุทธสั่งการให้ถอนฟ้อง ซึ่งตนจะไปถอนฟ้องในฐานะโจทย์ที่สอง ส่วนกรณีนายเอกยุทธที่ชัดเจนแล้วว่าเสียชีวิต ดังนั้นอำนาจทนายความก็ต้องหมดลงด้วย ต้องรอการมอบมรดกความ และเมื่อมีผู้ใดรับมอบมรดกความแล้วก็จะยื่นถอนฟ้องต่อไป นอกจากนี้ ในคดีที่นายเอกยุทธถูกฟ้องว่าร่วมกันก่อเหตุทะเลาะวิวาทที่ร้านคาราโอเกะซีตี้ เมื่อปลายปี 2555 คดีก็จะระงับในส่วนของนายเอกยุทธ เนื่องจากเสียชีวิตแล้ว ส่วนผู้ที่ถูกฟ้องรายอื่นๆ ก็ต้องว่ากันไปตามรูปคดี

ขณะที่พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผบช.น. ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีดังกล่าว เปิดเผยถึงกรณีที่นายเอกยุทธ ฟ้องร้องหมิ่นประมาท อยู่กับพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. ผบช.น. ว่า คงต้องแยกส่วนกัน เราเป็นตำรวจอาชีพ เรื่องที่มีการฟ้องร้องก็ต่อสู้ไปตามกระบวนการยุติธรรม และเชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีการโกรธเคืองอะไรกันกับนายเอกยุทธ อีกทั้งความผิดที่นายเอกยุทธฟ้องร้องผบช.น. ก็เป็นคดีความหมิ่นประมาท ซึ่งตนมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ยืนยันว่าตำรวจยึดหลักกฎหมายในการทำงานอย่างเคร่งครัด แต่แน่นอนว่าไม่สามารถทำให้ทุกคนเลิกสงสัยในประเด็นนี้ได้

"เราเป็นพนักงานสอบสวน เราเป็นตำรวจต้องยึดหลักกฎหมายโดยเคร่งครัด พนักงานสอบสวนไม่สามารถที่จะทำให้ทุกคนพอใจได้ เมื่อเคลือบแคลงสงสัยก็ต้องใช้กระบวนการทางกฎหมายตรวจสอบ ตนเชื่อมั่นว่าพล.ต.ท.คำรณวิทย์ พร้อมต่อสู้คดีในเรื่องนั้น เรื่องนี้ก็ให้ความจริงจังในการทำงานทุกอย่างโปร่งใส่ และพร้อมที่จะตอบสังคมได้ทุกเรื่อง ต้องของคุณนายสุวัฒน์ และทีมทนายความที่เข้ามาให้ข้อมูลและเบาะแสต่างๆ ซึ่งจะนำหลักฐานทั้งหมดมาประกอบการสอบสวนดำเนินคดี เพื่อทำให้คดีดังกล่าวดำเนินการอย่างละเอียดรอบครอบที่จะตอบข้อสงสัยในทุกประเด็น นอกจากนี้หากใครมีข้อมูลเกี่ยวกับคดีและน่าจะเป็นประโยชน์ ก็สามารถแจ้งเข้ามาได้ หรือเข้ามาพูดคุยกันแลกเปลี่ยนความเห็นและข้อมูล แต่หากไม่สะดวกจะมาทางตำรวจก็ยินดีจะเข้าไปพูดคุยด้วย” รองผบช.น. กล่าว

เมื่อถามว่า สำหรับแม่ของนายสันติภาพ ตำรวจมีหลักฐานมากน้อยแค่ไหนที่จะยืนยันว่าไม่มีส่วนรู้เห็น เนื่องจากมีการเรียกให้มารับเงินที่ลาดกระบังขณะที่นายเอกยุทธยังไม่เสียชีวิต พล.ต.ต.อนุชัย กล่าวว่า จะดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันรับของโจรไว้ก่อน ในส่วนการสอบสวนหากมีการขยายผลหรือมีหลักฐานเชื่อมโยงว่ามีความผิดอีก ก็จะดำเนินการเพิ่มเติมต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่ผู้ต้องหาซัดทอดกันไปมาว่าไม่ได้เป็นคนฆ่านายเอกยุทธ จะมีผลต่อรูปคดีหรือไม่ พล.ต.ต.อนุชัย กล่าวว่า ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะให้การอย่างไรก็ได้ แต่พนักงานสอบสวนมีหน้าที่ที่ต้องคนหาความจริง แต่ขณะนี้ที่ดำเนินคดีคือร่วมกันฆ่า ใครทำมากหรือทำน้อยก็ถือว่าทำร่วมกัน ส่วนที่ว่าใครจะเป็นคนลงมือบีบคอนายเอกยุทธ หลักฐานทางนิติเวชก็จะระบุเองว่าเป็นฝีมือใคร ซึ่งขณะนี้ก็มีความชัดเจนในระดับหนึ่งแล้ว

รายงานข่าวแจ้งว่า ชุดสืบสวนได้พบแหวนของนายเอกยุทธ ตกอยู่ในคอลโซลรถด้านหน้า แต่จากการสอบสวนผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ต่างก็ไม่ยอมรับว่าได้ถอดแหวนนายเอกยุทธไปหรือไม่ ซึ่งผู้ต้องหาทุกคนได้ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา แต่จากแนวทางการสืบสวนพบว่า หลังจากที่นายสันติภาพขับรถไปยังจังหวัดพัทลุงและได้นำศพเอกยุทธไปฝังดินแล้ว จึงได้นำรถไปล้างที่คาร์แคร์แห่งหนึ่งเพื่อทำลายหลักฐานต่างๆที่อยู่บนรถ ระหว่างนั้นเด็กล้างรถก็ได้พบแหวนของนายเอกยุทธตกอยู่ที่บริเวณช่องซอกด้านล่างของประตูรถฝั่งซ้าย แต่เนื่องจากแหวนเป็นแหวนทองคำขาว มีลักษณะคล้ายสแตนเลท เด็กล้างรถจึงคิดว่าน่าจะเป็นแหวนปลอม จึงได้เก็บแหวนและนำไปใส่ที่คอลโซลด้านหน้ารถ

ทั้งนี้ชุดสืบสวนตั้งข้อสังเกตว่า การที่แหวนของนายเอกยุทธหลุดออกจากนิ้วมือได้ ทั้งๆที่ถูกใส่กุญแจมืออยู่นั้น น่าจะเป็นเพราะนายเอกยุทธเป็นคนถอดเอง โดยคาดว่านายเอกยุทธตั้งใจที่จะถอดแหวนและโยนทิ้งออกไปนอกรถ เพื่อให้ไปตกอยู่ที่บริเวณหน้าบ้าน ระหว่างที่คนร้ายขับรถไปที่บ้านของนายเอกยุทธ เพื่อส่งสัญญาณให้คนที่บ้านผิดสังเกตหากพบแหวนตกหล่นอยู่ เพราะคนที่บ้านหรือญาติๆต่างทราบดีว่านายเอกยุทธรักแหวนวงนี้มากและจะใส่แหวนอยู่ตลอดเวลา แต่เนื่องจากนายเอกยุทธถูกจับใส่กุญแจมืออยู่ จึงทำให้โยนแหวนออกไปไม่ถนัด แหวนจึงไม่ตกออกไปนอกรถ แต่ไปตกอยู่ที่บริเวณช่องซอกด้านล่างของประตูรถดังกล่าวแทน

นอกจากนี้ชุดสืบสวนยังตั้งข้อสังเกตว่า ที่บ้านของผู้ต้องหาทั้ง 4 คน ที่จังหวัดพัทลุงนั้น มีฐานะค่อนข้างยากจน หากผู้ต้องหาต้องการทรัพย์สินของนายเอกยุทธจริง เหตุใดจึงยอมโยนของมีค่าต่างๆทิ้ง ทั้งสร้อยทอง นาฬิกาโรเล็ก พระเครื่องเลี่ยมทอง ฯลฯ ซึ่งชุดสืบสวนคาดว่าคนร้ายน่าจะนำทรัพย์สินที่ยังหาไม่พบ ไปฝังดินไว้ที่บ้านพักแห่งหนึ่งในจ.พัทลุง ขณะนี้อยู่ระหว่างการติดตามยึดมาตรวจสอบต่อไป

มีรายงานว่าสำหรับข้อมูลฮาร์ดดิสภาพจากกล้องวงจรปิดภายในบ้านนายเอกยุทธนั้น นายสันติภาพน่าจะเป็นผู้ถอดออกไป แล้วนำไปทำลายด้วยวิธีการทุบแยกชิ้นส่วน ก่อนจะโยนออกไปนอกตัวรถทิ้งข้างทางที่บริเวณ จ.สุราษฎร์ธานี และตามระหว่างทางที่จะมุ่งมายังจุดที่ฝังศพของนายเอกยุทธ

คุมเข้ม"ทีมอุ้มฆ่า"เอกยุทธ"ป้องกันเผชิญหน้า

นายกอบเกียรติ กสิวิวัฒน์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงมาตรการควบคุมตัวและการดูแลความปลอดภัยผู้ต้องหาคดีร่วมกันฆ่านายเอกยุทธ อัญชันบุตร ประกอบด้วยนายสันติภาพ เพ็งด้วง หรือบอล นายชวลิต วุ่นชุมหรือเชา นายทิวากร เกื้อทอง หรือทิว รวมถึงนายสุทธิพงศ์ พิมพิสาร หรือเบิ้ม ที่เพิ่งถูกส่งตัวเข้าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครในวันนี้(15

มิ.ย.)ว่า เรือนจำได้วางมาตรการคุมเข้มการดูแลความปลอดภัยเป็นพิเศษ คืนแรกของการควบคุมตัวก็ไม่พบว่ามีปัญหาโดยเรือนจำได้จัดให้ผู้ต้องหาอยู่ในแดนแรกรับ แต่ให้แยกห้องนอนกัน และจัดผู้ช่วยผู้คุมที่เป็นผู้ต้องขังคอยตามประกบเป็นรายคนเพื่อเฝ้าระวังไม่ให้ผู้ต้องขังคิดสั้นหรือทำร้ายตัวเอง ซึ่งคาดว่าภายใน 2 สัปดาห์เรือนจำจะจำแนกไปคุมขังยังแดนต่างๆ ซึ่งผู้ต้องหากลุ่มนี้เรือนจำต้องพิจารณาการจำแนกเป็นพิเศษโดยเฉพาะการสำรวจคู่คดีของแต่ละคนในแต่ละแดนว่ามีหรือไม่ เพื่อไม่ให้มีโอกาสไปเผชิญกันในแดนที่อาจสุ่มเสี่ยงกับความไม่ปลอดภัย ส่วนการย้ายไปยังเรือนจำความมั่นคงสูงต้องรอให้ศาลตัดสินคดีก่อนเพราะจะต้องนำอัตราโทษ พฤติการณ์แห่งคดีมาประกอบการพิจารณาด้วยอย่างไรก็ตาม ขณะนี้ในเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครได้ก่อสร้างแดนความมั่นคงสูงเพื่อรองรับผู้ต้องขังโทษหนักได้เหมือนกัน

รายงานข่าวระบุว่าคืนแรกของการถูกคุมขังผู้ต้องหาทั้ง 3 ราย มีอาการตึงเครียดน้อยลงกว่าระหว่างที่อยู่ในการควบคุมของตำรวจโดยเริ่มพูดคุยกับเพื่อนผู้ต้องขังรายอื่น โดยเฉพาะนายเชาและนายทิวที่เปิดปากเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นให้เพื่อนผู้ต้องขังฟังโดยยืนยันว่าเป็นเพียงผู้ที่ไปขุดหลุมเท่านั้นไม่ได้มีส่วนรู้เห็นการฆ่าหรือฝังนายเอกยุทธ

อย่างไรก็ตามเพื่อความปลอดภัยของผู้ต้องขังเรือนจำยังไม่อนุญาตให้ญาติหรือคนรู้จักนำอาหารจากภายนอกเข้าเยี่ยมผู้ต้องขังกลุ่มนี้เพราะเสี่ยงที่อาจได้รับอันตรายในระหว่างที่คุมตัวอยู่ในเรือนจำ รวมถึงยังไม่อนุญาตให้ญาติเข้าเยี่ยมเพื่อให้มาตรการดูแลความปลอดภัยมีประสิทธิภาพมากขึ้น