กลเกม 'สันติภาพ 3 เดือน' ชั้นเชิง 'กัมพูชา' ยังไม่สิ้นปรปักษ์

3 เดือน หากข้อตกลง ไทย-กัมพูชา ไม่เป็นรูปธรรม กองทัพจะใช้มาตรการอื่น ภายใต้กฎหมาย-กติกาสากล ปกป้องอธิปไตยจนกว่ากัมพูชาจะ “หยุดการเป็นปรปักษ์” กับไทยโดยสิ้นเชิง
KEY
POINTS
- กัมพูชาส่ง 2 ทหารสายตรง “ฮุน มาเนต” ร่วมประชุมปฏิบัติตามแผนเคลื่อนอาวุธจากชายแดนกับฝ่ายไทย
- ฝ่ายไทย มีแผนเคลื่อนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์กลับที่ตั้งหน่วยปกติ แต่จะดำเนินการ เมื่อกัมพูชาได้ดำเนินการก่อน และทำตามสัดส่วนอย่างสมดุล
- ไทย-กัมพูชา เห็นพ้อง กำหนดวันถอนอาวุธพร้อมกัน เวลา 00.00 น. แบ่งเป็น 3 เฟส รวม 6 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน 15 วัน
การประชุมคณะกรรมการส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา(RBC) ระหว่าง กองทัพภาคที่ 2 และภูมิภาคที่ 4 กัมพูชา เมื่อวันที่ 28 ต.ค.2568 เริ่มตั้งแต่เวลา 10.00- 22.00 น. จนได้ข้อสรุป การจัดลำดับเคลื่อนย้ายอาวุธหนัก ออกจากชายแดน 2 ประเทศ ตามแผนปฏิบัติการ
ภายหลัง นายกฯ ไทย อนุทิน ชาญวีรกูล และนายกฯ กัมพูชา พล.อ.ฮุน มาเนต ลงนามปฏิญญานำไปสู่สันติภาพ โดยมี โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา กับ อันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เป็นพยาน เป้าหมายลดความตึงเครียดชายแดนไทย-กัมพูชา
เป็นที่น่าสังเกตว่า การประชุมรอบนี้ กัมพูชาส่ง 2 ทหารฝ่ายยุทธการ ยศ “พลโท-พลตรี” สายตรง “ฮุน มาเนต” มีอำนาจตัดสินใจเข้าร่วมด้วย พร้อมข้อมูลรายการอาวุธของฝ่ายไทย ที่อยากให้เคลื่อนออกจากพื้นที่
เช่นเดียวกับฝ่ายไทย มีรายการอาวุธของกัมพูชา ที่เคลื่อนมาประชิดชายแดนไทย ตั้งแต่เดือน มี.ค.และ เม.ย.2568 ที่ผ่านมา เช่น ปืนใหญ่ 130 มม. ระบบจรวดหลายลำกล้อง BM-21 ประมาณ 200 คัน ระบบยิงจรวดหลายลำกล้อง PHL-03 วิถีการยิงไกล 130 กิโลเมตร และรถถังจีนจำนวนหนึ่ง
แม้ในเหตุปะทะ 5 วัน ฝ่ายไทยได้ทำลายอาวุธจรวดกัมพูชาไปบางส่วน แต่ยังมีบางส่วนที่เป็นภัยคุกคาม และยุทโธปกรณ์เหล่านี้เคลื่อนที่ไปมา เปลี่ยนพิกัด กระจายในหลายพื้นที่ เช่น ตรงข้ามช่องอานม้า จ.อุบลราชธานี พื้นที่ด้านภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ ฝั่ง จ.พระวิหาร
ทั้งนี้ฝ่ายไทย มีแผนเคลื่อนย้ายอาวุธยุทโธปกรณ์กลับที่ตั้งหน่วยปกติ แต่จะดำเนินการ เมื่อกัมพูชาได้ดำเนินการก่อน และทำตามสัดส่วนอย่างสมดุล
เช่น วันลงนามปฏิญญานำไปสู่สันติภาพ ช่วงค่ำ 26 ต.ค.2568 กัมพูชา เผยแพร่ภาพข่าวถอนอาวุธเชิงสัญลักษณ์ เป็นรถถัง T-55 และรถรบจำนวนหนึ่งออกจากพื้นที่ชายแดน จ.พระวิหาร ซึ่งภายหลังพบว่ามีการถอนรถถังจริงเพียงแค่ 2 คัน
ต่อมาฝ่ายไทย ได้เคลื่อนย้ายรถถัง M60A3 ออกจากชายแดน จ.สุรินทร์ กลับสู่ที่ตั้งหน่วยค่ายอดิศร จ.สระบุรี 2 คันเช่นเดียวกัน
นอกจากนี้ หน่วยที่ตั้งอาวุธร้ายแรงกัมพูชา เช่น BM-21 อยู่ห่างจากพื้นที่ชายแดนไทยเพียงอำเภอเดียว ในขณะที่ฝ่ายไทย มีหน่วยที่ตั้งอาวุธกระจายในหลายจังหวัดทั้ง สุรินทร์ ลพบุรี ชลบุรี สระบุรี บุรีรัมย์
ฝ่ายไทยโฟกัสไปที่ BM-21 กัมพูชาต้องถอนออกจากชายแดนเป็นเฟสแรก ส่วนฝ่ายกัมพูชาต้องการให้ฝ่ายไทยเคลื่อนย้ายปืนใหญ่อัตราจร ขนาด 155 มม. เพราะเป็นอาวุธนำวิถี ยิงได้แม่นยำ ตรงเป้าหมาย ซึ่งถูกจัดให้อยู่ใน “เฟส 2” ให้มาอยู่ “เฟสแรก”
ส่งผลให้การประชุมลากยาว โดยกัมพูชาทวงถามคำตอบจากไทย ขอให้เคลื่อนย้ายปืนใหญ่อัตราจร ขนาด 155 มม.มาอยู่ใน “เฟสแรก” แต่ฝ่ายไทยยืนยันต้องอยู่ในเฟส 2 โดยอ้างเหตุผลเคลื่อนย้ายลำบาก แตกต่างกับอาวุธประเภทจรวด ที่เคลื่อนย้ายง่ายกว่า
ในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็เห็นพ้อง
โดยจะมีการลงนาม “บันทึกการประชุม” ระหว่าง พล.ท.วีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 และผู้บัญชาทหารภูมิภาคที่ 4 กัมพูชา ในวันที่ 31 ต.ค.2568 เวลา 14.00 น.บริเวณ จุดผ่านแดนถาวรช่องจอม-โอร์เสม็ด
สำหรับกำหนดวันถอนอาวุธพร้อมกัน เวลา 00.00 น. แบ่งเป็น 3 เฟส รวม 6 สัปดาห์ หรือ 1 เดือน 15 วัน
เฟส 1 เริ่มต้นวันที่ 1 พ.ย.2568 เป็นอาวุธประเภทจรวดหลายลำกล้อง
เฟส 2 วันที่ 22 พ.ย.2568 อาวุธประเภทปืนใหญ่ทั้งหมด ทั้งลากจูง และอัตราจร ขนาด 155 มม.ลงมา
เฟส 3 วันที่ 13 ธ.ค.2568 อาวุธ ประเภท ยานเกราะ รถถัง
สำหรับการเก็บกู้ทุ่นระเบิด มาตรฐานขั้นตอนการปฏิบัติ Standard Operating Procedure - SOP กรอบระยะเวลาดำเนินการ 3 เดือน ในพื้นที่ ทภ.2 ฝ่ายไหนคุมพื้นที่ มีหน้าที่เก็บกู้
ในส่วนของบ้านหนองจาน และบ้านหนองหญ้าแก้ว อ.โคกสูง จ.สระแก้ว คาดว่าจะเก็บกู้ทุ่นระเบิดแล้วเสร็จวันที่ 17 พ.ย.2568 จากนั้นเป็นการจัดระเบียบพื้นที่ชายแดน
การปราบปรามสแกมเมอร์ จัดทำเป็น Action Plan เช่นกัน โดยให้ตำรวจ 2 ฝ่ายตั้งทีมดำเนินการ มีการเปิดศูนย์วอร์รูม และมีหน่วยงานต่างประเทศเข้าร่วม ได้แก่ สำนักงานว่าด้วยยาเสพติด และอาชญากรรมแห่งสหประชาชาติ (Unodc)สำนักงานสอบสวนกลาง (FBI) อินเตอร์โพล พร้อมจัดตั้งกองกำลังเฉพาะกิจกวาดล้างแกนนำ หรือผู้ที่เกี่ยวข้องกับสแกมทั้งหมด
“ในเวลา 3 เดือน สามารถเห็นผลได้ใน 3 เรื่อง ทั้งถอนอาวุธหนัก เก็บกู้วัตถุระเบิดตามแนวชายแดน และการจัดระเบียบชายแดน” พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมว.กลาโหม ระบุ
ขณะที่กองทัพเห็นว่าประสบการณ์ที่ผ่านมา ชี้ชัดว่ากัมพูชาไว้วางใจไม่ได้ พร้อมจะบิดพลิ้วได้ตลอดเวลา สะท้อนผ่าน พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก ในการประชุมหน่วยขึ้นตรงกองทัพบก วาระพิเศษ ปีงบประมาณ 2569 คล้อยหลังจากการลงนามของผู้นำ 2 ประเทศเพียงวันเดียว
“ขอให้ทบทวนนโยบายที่ได้รับ และสานต่อภารกิจต่างๆ ด้วยความต่อเนื่อง ซึ่งปัจจุบันยังคงมีสถานการณ์ภัยคุกคามด้านความมั่นคงของประเทศอย่างรอบด้าน ขอให้หน่วยเฝ้าติดตามประเด็นต่างๆ อย่างใกล้ชิด รวมทั้งเตรียมกำลังให้มีความพร้อมอยู่เสมอ ตามแนวทางที่กองทัพบกได้กำหนดไว้อย่างชัดเจน เพื่อรักษาความมั่นคง และอธิปไตยของชาติ” ผบ.ทบ.ระบุ
ส่วนกองทัพเรือ พล.ร.ต.ปารัช รัตนไชยพันธ์ โฆษกกองทัพเรือ ระบุ พล.ร.อ.ไพโรจน์ เฟื่องจันทร์ ผู้บัญชาการทหารเรือ กำชับให้ดำรงความพร้อม และประเมินสถานการณ์หลังการลงนามคำแถลงไทย-กัมพูชา
กองทัพเรือเห็นว่า สาเหตุแห่งความขัดแย้งระหว่าง 2 ประเทศยังคงดำรงอยู่ ทั้งในประเด็นการปักปันเขตแดน ซึ่งยังไม่สามารถหาข้อยุติได้ในระยะเวลาอันใกล้ การคงอยู่ของทุ่นระเบิดในพื้นที่ชายแดนที่ยังมีศักยภาพในการสร้างความสูญเสียแก่ชีวิต และทรัพย์สินของทั้งทหาร และพลเรือน การรุกล้ำอธิปไตย และการให้ข่าวบิดเบือนเพื่อสร้างทัศนคติในเชิงลบต่อประเทศไทย
ดังนั้น กองทัพเรือจึงจำเป็นต้องดำรงความพร้อมในการใช้กำลังเพื่อการป้องปราม และป้องกันประเทศ จากการยั่วยุหรือการสร้างสถานการณ์ที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ทั้งนี้ กองทัพเรือจะยืนหยัดปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งในการรักษาอธิปไตยทั้งทางบก และทางทะเลอย่างต่อเนื่อง จนกว่าสาเหตุแห่งความขัดแย้งทั้งหมดจะได้รับการแก้ไข และสันติภาพอันยั่งยืนระหว่างทั้ง 2 ประเทศจะบังเกิดขึ้นอย่างแท้จริง
ในระหว่างนี้ ฝ่ายไทยจะดำเนินการติดตามความคืบหน้าของกัมพูชา ในการปฏิบัติตามแผน และขั้นตอน ตามที่ได้มีการตกลง และเห็นชอบร่วมกันไว้
หากข้อตกลงของไทย-กัมพูชาไม่บังเกิดผลเป็นรูปธรรม กองทัพพร้อมพิจารณาใช้มาตรการอื่น ภายใต้กรอบกฎหมาย และกติกาสากลสนับสนุนเพิ่มเติม เพื่อปกป้องอธิปไตยไปจนกว่ากัมพูชาจะ “หยุดการเป็นปรปักษ์” กับไทยโดยสิ้นเชิง
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







