จาก ‘หนูเหนือเมฆ’ เป็น ‘หนูดั้นเมฆ’

จาก ‘หนูเหนือเมฆ’ เป็น ‘หนูดั้นเมฆ’

ขอตั้งฉายารัฐบาลว่า “หนูดั้นเมฆ” เป็นภาคต่อของ “หนูเหนือเมฆ” ซึ่งเมื่อพ้นช่วงฮันนีมูนแล้ว เริ่มกลายเป็น “หนูดั้นเมฆ” คือพรางตัว หลบกระแส แรงกดดัน ใช้เมฆบังอำพรางไปเรื่อยๆ

ผ่านปักษ์แรกในเดือนแรกของ “รัฐบาลเฉพาะกิจ 4 เดือน” ที่นำโดยพรรคภูมิใจไทย ในฐานะเป็นรัฐบาล “เสียงข้างน้อยจริงๆ” ไม่ใช่แค่พรรคแกนนำเสียงน้อย เหมือนพรรคกิจสังคมที่นำโดยหม่อมคึกฤทธิ์ในอดีต จึงต้องถือว่า รัฐบาลอนุทิน เป็นเรื่องแปลกใหม่ของประชาธิปไตยไทยอยู่พอสมควร

ช่วงแรก การพลิกขั้วจากพรรคอันดับ 3 ในการเลือกตั้งปี 66 และพรรคอันดับ 2 ของรัฐบาลเพื่อไทย ซึ่งถูกเตะออกจากรัฐบาล เนื่องจากถูกริบเก้าอี้ รมว.มหาดไทย แม้ทางพรรคจะออกแถลงการณ์ถอนตัวก่อน ในวันที่มีคลิปเสียงฮุน เซน หลุดออกมา แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า ภูมิใจไทยไปต่อกับรัฐบาลเพื่อไทยไม่ได้จริงๆ และอดีตนายกฯทักษิณ ช่วงที่ยังอยู่นอกเรือนจำ ก็ออกปาก “ไล่เช้า ไล่เย็น”

เวลานั้นพรรคเพื่อไทยตั้งหลักได้เร็ว และรุกปรับ ครม.ใหญ่ แจกเก้าอี้บ้านใหญ่ กลุ่มก๊วนการเมือง ทำท่าจะอยู่ยาว แม้นายกฯแพทองธารไม่รอด ก็ดัน คุณชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตเบอร์ 3 เป็นนายกฯต่อ ไม่มีการเปลี่ยนขั้ว เปลี่ยนข้าง

แต่สุดท้ายการเมืองพลิกผัน พรรคภูมิใจไทยชิงจัดตั้งรัฐบาลได้ด้วย “วิธีพิสดาร” ให้พรรคฝ่ายค้าน ซึ่งมีเสียงในสภาอันดับ 1 ยกมือหนุน โดยไม่ต้องร่วมรัฐบาล ไม่ขอแบ่งเก้าอี้รัฐมนตรี ทำให้ถูกมองในตอนนั้นว่า “หนู-เน” มาเหนือเมฆจริงๆ เพราะเหมือนมีดีลกันไว้ล่วงหน้า ส่วนเพื่อไทยถูกหักหน้า ทำให้ขายหน้าซ้ำแล้วซ้ำอีก เรื่อง MOA และความพยายามดิ้นทุกวิถีทาง เพื่อรักษาอำนาจเอาไว้ฝ่ายตน

ช่วงแรกของการฟอร์มรัฐบาล พรรคภูมิใจไทยก็มาเหนือเมฆ เสียงสนับสนุนท่วมท้น สส.แห่ไหลเข้า โมเมนตัมการเมืองเอียงไปทางค่ายน้ำเงิน มีลีลาเปิดตัว “รัฐมนตรีคนนอกหน้าตาดี” มาชิงกระแส ทำให้เมื่อถึงเวลาเปิดตัว “รัฐมนตรีคนในหน้าตาแย่” หรือ “กลุ่มสายล่อฟ้า” จึงส่งผลให้สังคมและคอการเมืองแกล้งลืมไปชั่วขณะ

ครั้นเปิดตัวนโยบายที่แถลงต่อรัฐสภา ก็มีกระแสตอบรับ เพราะรัฐบาลภูมิใจไทยเก็บคะแนนทุกเม็ด โดยเฉพาะฟื้นโครงการ “คนละครึ่ง” แถมเติม “พลัส” เข้าไปด้วย เรียกว่าเอาใจทุกกลุ่ม ดูแลทุกระดับประทับใจ

ไม่นับโครงการอื่นๆ ที่นำมาต่อยอด สร้างคะแนน หวังผลงานและความนิยมในระยะสั้น ระยะเฉพาะหน้า

ส่วนปัญหากัมพูชา ก็ดันทหารออกหน้า แล้วตัวเองเดินตามหลัง กองทัพว่าอย่างไรก็ว่าตามกัน ซึ่งช่วงที่ผ่านมา กระแสกองทัพกำลัง “ขาขึ้น” ทำให้ประชาชนชื่นมื่นกับรัฐบาล แถมด้วยการชูธงยกเลิกเอ็มโอยู 2543-2544 ซึ่งติดค้างอยู่ในใจคนไทยมานาน ยิ่งได้รับกระแสตอบรับท่วมท้น แม้จะมึนงงอยู่บ้างว่า ทำไมต้องทำประชามติ แต่สำรวจโพลออกมา ประชาชนก็อยากทำประชามติกันเกินกว่า 60%

แต่เมื่อรัฐบาลภูมิใจไทยได้อำนาจเต็มมาบริหารจริงๆ และเริ่มมีเรื่องที่ต้องเคาะ ต้องตัดสินใจ ปรากฏว่าท่าทีของนายกฯอนุทิน และรัฐบาลภูมิใจไทย ออกแนว “ไหล” และ “พลิ้ว” รายวัน ไม่ยอมฟันธงตรงๆ สักเรื่อง มีแต่ชำเลืองรอดูกระแส บางเรื่องก็ให้ถามกองทัพ บางเรื่องก็รอฟังอินฟลูฯ บางเรื่องก็โยนถามประชาชน

สุดท้ายนักวิชาการ ลามถึงข้าราชการน้อยใหญ่ เริ่มตั้งข้อสงสัย ว่ารัฐบาลภูมิใจไทยมีนโยบายอะไรที่เป็นของตัวเองบ้างหรือไม่ หรือว่าเน้นตัดแปะของเก่า และเฝ้าดูกระแสสังคมอย่างเดียว

หากลองผ่านโยบาย 3 ด้าน คือ ด้านเศรษฐกิจ ความมั่นคง และการเมือง เพื่อตั้งคำถามย้อนกลับไปยังรัฐบาลอนุทินว่า อะไรคือยุทธศาสตร์ประเทศของภูมิใจไทย ที่จะนำพาบ้านเมืองและประชาชนคนไทยให้พ้นจากปัญหา 3 ด้านสำคัญนี้ คำตอบที่ได้ดูจะน่าเศร้า เพราะเหมือนรัฐบาลไม่มียุทธศาสตร์อะไรเลย

ผมจึงขอตั้งฉายารัฐบาลว่า “หนูดั้นเมฆ” เป็นภาคต่อของฉายา “หนูเหนือเมฆ” คือเมื่อพ้นช่วงฮันนีมูนแล้ว จากที่เคยถูกมอง “หนูเหนือเมฆ” เริ่มกลายเป็น “หนูดั้นเมฆ” คือพรางตัวไปในเมฆ คล้ายๆ หลบกระแส หลบแรงกดดัน ใช้เมฆบังอำพรางไปเรื่อยๆ

หากเป็นแบบนี้ต่อไป สุดท้าย 4 เดือนไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน อาจจะกลายเป็น “หนูยกเมฆ” ได้ไม่ยาก

 1.นโยบายเศรษฐกิจ ความหวังของประชาชนคนไทยคือ นอกจาก “คนละครึ่ง” ที่หวังผลระยะสั้นแล้ว น่าจะมีนโยบายอะไรที่คิดใหม่ เป็นของตัวเอง มียุทธศาสตร์ และเป้าหมายชัดเจนบ้าง แต่สุดท้ายมีแต่ตัดแปะของเก่า แต่งหน้าเค้กใหม่นิดหน่อย หวังคะแนนนิยม

 2.นโยบายความมั่นคง เรื่องนี้ยิ่งหนัก แม้แต่ปัญหากัมพูชาที่บางคนอาจจะมองว่าดีขึ้น คำถามคือ มียุทธศาสตร์เอาชนะ หรือยุทธศาสตร์ที่เป็นทางออกชัดเจน ที่เรียกว่า Exit Strategy หรือยัง

สิ่งที่ประชาชนคนไทยคาดหวัง คือรัฐบาลมีไทม์ไลน์ของแผนปฏิบัติที่แน่ชัด ให้หน่วยปฏิบัติได้ไปทำตามแผนยุทธศาสตร์ เช่น ตรึงชายแดน แสดงสิทธิ์เหนือปราสาท แสดงอำนาจอธิปไตยเหนือบ้านหนองจาน หนองหญ้าแก้ว รวมถึงแนวทางการต่อสู้ในเวทีอาเซียน และเวทีโลก แต่สิ่งที่เห็นและเป็นอยู่คือ ทุกอย่างไหลตามทหาร อินฟลูฯ และกระแส

ซ้ำร้ายเมื่อถูกเรียกร้องให้จัดการปัญหาสแกมเมอร์ คอลเซนเตอร์ พนันออนไลน์ ก็อ้ำๆ อึ้งๆ แถมไปตั้ง “รัฐมนตรีสายล่อฟ้า” ให้คนเขายิ่งกังขา

ต้องไม่ลืมว่าการเล่นกับกระแสชาตินิยม ได้ผลเร็วจริง ได้เสียงเชียร์เยอะจริง แต่ทุกอย่างก็พลิกผันได้ง่ายๆ เหมือนกัน ระวังให้ดีจาก“ฮีโร่” จะกลายเป็น“ฮีลวง” เพียงชั่วข้ามคืน

อีกหนึ่งปัญหาความมั่นคง คือ“ไฟใต้” ปรากฏว่ารัฐบาล 4 เดือนสร้างเซอร์ไพรส์ ตั้งคณะพูดคุยฯ แถมฟื้นผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ที่แจกตำแหน่งกันในยุคลุงตู่

ตั้งมากี่คนยังไม่รู้ แต่ที่รู้ๆ คือ ตั้งมาก็ไม่รู้จะให้ทำอะไร และระยะเวลาแค่ 4 เดือนจะทำอะไรได้ นอกจากเอาตำแหน่งไปแจกเครือข่าย และใช้งบคณะละ 20 ล้าน โดยไม่รู้จะประเมินผลงานกันอย่างไร

 3.นโยบายการเมือง สิ่งที่ประชาชนคนไทยอยากเห็น คือ พรรคการเมืองที่สร้างเครือข่าย สร้างคน สร้างทีมสีน้ำเงินรุ่นใหม่ ขายนโยบายใหม่ๆ โชว์ความพร้อมในการบริหารประเทศ

แต่สิ่งที่เห็นจนชินตา เพราะเกิดขึ้นรายวัน คือ “ดีล - ดูด - ดึง” สส.ดาวฤกษ์ มีแสง บ้านใหญ่ ยิงลูกโดด งูเห่า ท่ามกลางข่าวลือแลกกล้วย แลกตำแหน่ง แลกผลประโยชน์การเมือง ฯลฯ

สภาพนี้บอกเลยว่า ระยะเวลา 4 เดือน อาจจะนานไปสำหรับท่าน ยิ่งถ้ารัฐธรรมนูญถูกตีตกวาระ 3 โดยน้ำมือ สว. แต่คดีฮั้วสภาสูงกลับไม่มีอะไรคืบหน้า

ระวัง...ที่หวัง 4+4 อาจกลายเป็น 4+0 หรือติดลบ