'โรม' ชี้ไม่ใช่สร้างกำแพงไทย-เขมรกั้นคน ต้องปราบสิ่งผิด กม.ด้วย

'โรม' มองสร้างกำแพงชายแดน 'ไทย-กัมพูชา' ต้องตอบโจทย์ จัดการสิ่งผิดกฎหมายด้วย ไม่ใช่กันคนข้ามไปมา มองจดหมาย 'ทรัมป์' ขอบคุณ 'ฮุน เซน' เรื่องต่างตอบแทน
KEY
POINTS
- รังสิมันต์ โรม สส.พรรคประชาชน ชี้ว่าการสร้างกำแพงชายแดนไทย-กัมพูชา ต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อปราบปรามสิ่งผิดกฎหมาย ไม่ใช่แค่การป้องกันคนลักลอบข้ามแดน
- เสนอว่าการลงทุนด้านเทคโนโลยี เช่น กล้อง CCTV หรือ Smart Pole ที่มีระบบ AI อาจมีประสิทธิภาพมากกว่าการสร้างกำแพงเพียงอย่างเดียว
- ย้ำว่ามาตรการใดๆ ที่ออกมาต้องสามารถแก้ปัญหาได้จริง เพื่อไม่ให้เป็นการใช้งบประมาณของประชาชนอย่างสิ้นเปลือง
เมื่อวันที่ 28 ส.ค. 2568 ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติ และการปฏิรูปประเทศ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.สส.) สนับสนุนการสร้างกำแพงไทยกัมพูชา ว่า ชายแดนไทยกัมพูชามีระยะทางประมาณ 800 กม. ถ้าจะสร้างกำแพงต้องคุยกันว่าวัตถุประสงค์คืออะไร ถ้าต้องการป้องกันไม่ให้มีการลักลอบข้ามผ่านไปมา คำถามสำคัญคือตนไปเห็นด้วยตาตัวเอง บริเวณจังหวัดสระแก้วก็มีการสร้างกำแพงแต่ก็มีการลักลอบเข้าออกตรงนั้น ดังนั้น ต้องถามว่าโจทย์คืออะไร ข้อเสนอของตนถ้าจะสร้างกำแพงแล้วตอบโจทย์ต่อวัตถุประสงค์ก็สร้างได้ แต่ถ้าบอกว่าต้องการป้องกันการลักลอบข้ามไปมา สิ่งที่เราต้องการมากกว่ากำแพง เช่น กล้อง CCTV หรือดีกว่านั้นคือ Smart Poe มีเทคโนโลยี AI กล้องอยู่ในตัว สามารถเชื่อมเข้ากับระบบที่กรุงเทพฯ และสามารถตรวจสอบได้ว่ามีการลักลอบผ่านหรือไม่ แต่ถามว่าวันนี้ลวดหีบเพลงยังมีปัญหาไม่เพียงพอ ขณะเดียวกันกองกำลังในพื้นที่ยังไม่มีการเชื่อมฐานข้อมูลที่มีประสิทธิภาพ ดังนั้น เวลาบอกว่าจะทำต้องถามว่าโจทย์คืออะไร
“ถ้าจะมีมาตรการอะไรก็แล้วแต่ ต้องจัดการกับสิ่งที่ผิดกฎหมายได้ แต่ถ้าทำไปแล้ว ใช้ภาษีประชาชนไปแล้วแก้ปัญหาไม่ได้ ก็คือการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ผมไม่ได้หมายความว่าสร้างกำแพงแล้ว เป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ขอร้องว่าอย่าไปโควทแบบนั้น เพราะจะเข้าใจผิด แต่ผมกำลังบอกว่ามาตรการอะไรที่ออกมาต้องตอบโจทย์ในการแก้ปัญหาที่ผิดกฎหมาย ซึ่งผมคิดว่าเราต้องลงทุนกับเรื่อชายแดนมากกว่านั้น คงได้มีการหารือกับผบ.สส. ต่อไป ผมกับผบ.สส.ก็คุยกันเป็นระยะอยู่แล้ว ดังนั้น การระดมความเห็นเพื่อแก้ปัญหาการข้ามแดนผิดกฎหมาย ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ควรทำ” นายรังสิมันต์ กล่าว
เมื่อถามถึงกรณีล่าสุดที่มีทหารเหยียบกับระเบิดบริเวณปราสาทตาควาย จังหวัดสุรินทร์ กัมพูชายืนยันว่าไม่ใช่เป็นของใหม่แต่เป็นของเก่า นายรังสิมันต์ กล่าวว่า อย่างแรกคิดว่าไม่ใช่กับระเบิดของฝ่ายไทยแน่นอน ส่วนเรื่องที่เป็นของเก่าหรือไม่ ประการแรกฝ่ายไทยมีการลาดตระเวนเป็นปกติทำไมที่ผ่านมาไม่มีปัญหา เรื่องนี้ตรวจสอบได้ไม่ยากว่าเป็นระเบิดเก่าหรือใหม่ ซึ่งช่วงที่ผ่านมามีการเชิญทูตและทูตทหารไปดูพื้นที่ ดังนั้น ตนไม่เชื่อว่าทางฝ่ายเราจะมีการสร้างหลักฐานเท็จอะไร ด้วยเหตุผลเหล่านี้ต้องยอมรับว่าทางกัมพูชาอาจจะพยายามใช้เรื่องกับระเบิดในการสร้างจิตวิทยา และอาจเป็นชนวนที่ทำให้เกิดความรุนแรง ตนย้ำหลายครั้งว่าทางกัมพูชาทำให้ตัวเองเป็นเหยื่อเพื่อให้สามารถเอาโลกมากดดันไทย เราต้องยอมรับว่าอาจจะมีบางประเทศมองว่ากัมพูชาเป็นประเทศเล็ก และประเทศไทยในฐานะที่เป็นประเทศที่ใหญ่กว่าไปรังแกเขา ดังนั้น วันนี้เราต้องคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะทำให้ชนะทั้งศึกและสงคราม อย่าเพลี่ยงพล้ำ
“แน่นอนว่าผมเสียใจกับผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ และต้องมีอุปกรณ์ที่เพียงพอ ประเภทที่ต้องใช้ไส้ไก่รัดแผลกันอยู่แบบนี้ ผมไม่เห็นด้วย ประเทศไทยไม่ใช่ประเทศที่ยากจน เรามีงบประมาณที่จะสนับสนุนได้ อะไรก็ตามที่เป็นอุปกรณ์ห้ามเลือดที่มีประสิทธิภาพกว่านี้ ผมก็สนับสนุนให้ทำ” นายรังสิมันต์ กล่าว
ส่วนกรณีประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐอเมริกา ส่งจดหมายขอบคุณนายฮุน มาเนต นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ที่เสนอชื่อเข้าชิงรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ปมหยุดยิงไทยกัมพูชา นายรังสิมันต์ กล่าวว่า มองว่าเป็นหลักการต่างตอบแทน ซึ่งกัมพูชาพยายามไปชูทรัมป์ให้ได้รางวัลโนเบล จึงมองว่าเป็นเรื่องมารยาททางการทูต ซึ่งในส่วนของจดหมายยังไม่ได้ทำให้ประเทศไทยเสียหายอะไร อย่างไรก็ตาม กระทรวงการต่างประเทศต้องเร่งทำงาน และขอย้ำอีกครั้งว่าศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) เป็นเครื่องมือสำคัญ ซึ่งกมธ.ความมั่นคงฯ จะมีการนัดหารือกับรัฐบาลในวันที่ 5 ก.ย. นี้ เพื่อพูดคุยเรื่องดังกล่าว







