มาริษประชุมผู้แทนอนุสัญญาออตตาวา เปิดความจริง‘ทุ่นระเบิดกัมพูชา’

มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ประชุมกับผู้แทนของประเทศและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในกรอบอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล (Anti-Personnel Mine Ban Convention: APMBC) ที่นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 27 ส.ค. กระทรวงการต่างประเทศเผยแพร่ถ้อยแถลงการประชุม สรุปได้ดังนี้
- รู้จักอนุสัญญาออตตาวา
สำนักงานอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล หรือที่รู้จักกันในนาม “อนุสัญญาออตตาวา” มีที่ตั้งถาวรที่นครเจนีวา ซึ่งเป็นเมืองหลวงด้านมนุษยธรรมของโลก มาริษตั้งข้อสังเกตว่า ที่สำนักงานสหประชาชาติประติมากรรมเก้าอี้หัก (Broken Chair) เป็นเครื่องย้ำเตือนว่าอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลมิใช่เป็นเพียงสนธิสัญญาเท่านั้น หากแต่เป็นสัญลักษณ์ของเจตจำนงร่วมกันของมนุษยชาติที่จะยุติความทุกข์ทรมานจากหนึ่งในอาวุธที่ไม่เลือกเป้าหมายและไร้มนุษยธรรมที่สุดเท่าที่มนุษย์เคยประดิษฐ์ขึ้น
อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลถือเป็นหนึ่งในเรื่องราวความสำเร็จของกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศและการลดอาวุธ แต่เพื่อให้ความสำเร็จนี้คงอยู่ต่อไปได้ คุณค่าของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลจะต้องได้รับการพิทักษ์และปฏิบัติตามอย่างจริงใจ ประเทศไทยได้แสดงบทบาทที่แข็งขันภายใต้กรอบของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลมาโดยตลอด เพื่อรักษาชีวิต ปกป้องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ และสนับสนุนผู้ประสบภัยจากทุ่นระเบิดในการฟื้นฟูและกลับคืนสู่สังคม และเราจะยังคงมีบทบาทที่แข็งขันต่อไปภายใต้กรอบอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล
- ผลงานประเทศไทย
นับถึงปัจจุบัน ประเทศไทยได้ทำการกวาดล้างพื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิดไปแล้วกว่า 99% ครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 2,500 ตารางกิโลเมตร เปลี่ยนพื้นที่เหล่านี้ให้เป็น “พื้นที่ปลอดภัย” และฟื้นฟูวิถีชีวิตของชุมชนของเรา
ความพยายามดังกล่าวได้รับการยอมรับจากประชาคมระหว่างประเทศ เห็นได้จากการแสดงปาฐกถา “สมเด็จเจ้าฟ้ามหาจักรีสิรินธร” เกี่ยวกับกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศโดยประธานคณะกรรมการกาชาดระหว่างประเทศที่กรุงเทพฯ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้ชื่นชมประเทศไทยที่สามารถ “ลดจำนวนผู้ได้รับผลกระทบจากทุ่นระเบิดจาก 350 รายในช่วงปี 2542-2543 เหลือเพียง 24 รายในปี 2554”
ในปี 2567 ไม่พบผู้เสียชีวิตจากทุ่นระเบิดในประเทศไทย และมีผู้ได้รับบาดเจ็บจากทุ่นระเบิดเพียง 3 ราย
ประเทศไทยได้เก็บกู้ทุ่นระเบิดตลอดแนวชายแดนของเรากับมาเลเซีย เมียนมา และ สปป.ลาว แล้ว โดยพื้นที่ปนเปื้อนทุ่นระเบิดที่เหลืออยู่ประมาณ 12.8 ตารางกิโลเมตร อยู่ตามแนวชายแดนกับกัมพูชา
“นี่จึงเป็นเหตุผลที่ประเทศไทยได้พยายามผลักดันความร่วมมือด้านการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมกับกัมพูชามาอย่างต่อเนื่องยาวนาน”
- กัมพูชาครอบครองระเบิด PMN-2
เมื่อวันที่ 16 ก.ค. ทหารไทยสูญเสียขาจากทุ่นระเบิดขณะปฏิบัติหน้าที่ลาดตระเวนตามปกติ ในพื้นที่ช่องบก จังหวัดอุบลราชธานี ต่อมามีการค้นพบทุ่นระเบิดเพิ่มเติมใกล้จุดเกิดเหตุ โดยมีเครื่องหมายโรงงานชัดเจนและไม่พบวัชพืชหรือรากไม้ แสดงให้เห็นว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้เพิ่งถูกวางใหม่ และไทยมีหลักฐานเพียงพอที่จะพิสูจน์โดยปราศจากข้อสงสัยใด ๆ ว่าทุ่นระเบิดทั้งหมดนี้เพิ่งถูกวางเมื่อเร็ว ๆ นี้
“ทุ่นระเบิดเหล่านี้คือทุ่นระเบิดประเภท PMN-2 ซึ่งเป็นอาวุธที่กัมพูชามีไว้ในครอบครองตามรายงานความโปร่งใส (Transparency Report) ของกัมพูชาเอง ขณะที่ประเทศไทยไม่มีทุ่นระเบิดไม่ว่าประเภทใดอยู่ในครอบครองแล้ว”
- แจ้งข้อมูลเลขาฯ UN
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา วันที่ 23 ก.ค.เกิดเหตุการณ์อีกครั้ง ขณะนั้นมาริษอยู่ในนครนิวยอรก์กำลังจะเข้าพบเลขาธิการสหประชาชาติ จึงได้แจ้งให้ทราบถึงสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งไทยประณามการกระทำที่ไร้มนุษยธรรมของกัมพูชา พร้อมอธิบายถึงมาตรการสันติวิธีที่ประเทศไทยดำเนินการเพื่อแก้ไขสถานการณ์นี้
- 24 ก.ค.จุดเปลี่ยน
จุดเปลี่ยนของสถานการณ์เกิดขึ้นในวันถัดมา คือวันที่ 24 ก.ค. เมื่อกัมพูชาได้โจมตีข้ามพรมแดนเข้ามาในประเทศไทย บริเวณพื้นที่ตาเมือนธม จังหวัดสุรินทร์ ตามมาด้วยการโจมตีด้วยอาวุธหนัก ซึ่งรวมถึงระบบยิงจรวดหลายลำกล้อง BM-21 เข้ามาในพื้นที่ชุมชนพลเรือนของไทย โดยโจมตีโรงเรียน โรงพยาบาล และร้านสะดวกซื้อ ส่งผลให้มีพลเรือนผู้บริสุทธิ์เสียชีวิต รวมถึงเด็ก
ประเทศไทยได้โต้ตอบด้วยการป้องกันตนเองตามความจำเป็นและได้สัดส่วน ภายใต้ขอบเขตที่จำกัดและมุ่งเป้าไปที่เป้าหมายทางทหารอย่างเคร่งครัด โดยเคารพกฎหมายระหว่างประเทศ กฎบัตรสหประชาชาติ และกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศอย่างเต็มที่
- กัมพูชาโจมตีต่อเนื่องแม้หยุดยิง
การโจมตียังคงดำเนินต่อไป แม้หลังจากการบรรลุข้อตกลงหยุดยิงเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ณ เมืองปุตราจายา โดยการอำนวยความสะดวกของมาเลเซียในฐานะประธานอาเซียน – ข้อตกลงซึ่งกัมพูชาได้ละเมิด
ต่อมา ทั้งสองฝ่ายได้ประชุมหารือกันอีกครั้งในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไป สมัยวิสามัญ ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ และได้ตกลงการหยุดยิงที่ครอบคลุมอาวุธทุกประเภท รวมถึงทุ่นระเบิด ซึ่งประเทศไทยเคารพข้อตกลงนี้และมุ่งมั่นปฏิบัติตามอย่างเต็มที่
อย่างไรก็ดี ไม่ถึงห้าวันหลังจากนั้น เกิดเหตุการณ์ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดเพิ่มเติมสามครั้ง ในวันที่ 9 และ 12 ส.ค.และครั้งล่าสุดคือเมื่อบ่ายวันที่ 27 ส.ค. รวมแล้วทหารไทยทุพพลภาพถาวร จำนวน 6 นาย
นอกจากนี้ยังพบทุ่นระเบิด PMN-2 ที่เพิ่งวางใหม่และที่ยังไม่ถูกใช้งาน พร้อมหลักฐานว่าทหารกัมพูชาได้รับการฝึกฝนในการวางทุ่นระเบิดประเภทดังกล่าว ซึ่งชี้ชัดว่าทุ่นระเบิดเหล่านี้ถูกนำมาวางโดยกัมพูชา
การกระทำเหล่านี้ถือเป็นการละเมิดอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของประเทศไทยอย่างร้ายแรง รวมถึงละเมิดอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลและข้อตกลงหยุดยิงอย่างชัดเจน
- การดำเนินการของไทย
ภายใต้อนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ไทยได้แจ้งประธานการประชุมรัฐภาคีอนุสัญญาฯ ครั้งที่ 22 เพื่อให้นำประเด็นนี้มาพิจารณาตามข้อ 8 วรรค 1 ของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้ยื่นคำร้องเพื่อขอรับความชัดเจนจากกัมพูชาผ่านเลขาธิการสหประชาชาติ ตามข้อ 8 วรรค 2 ของอนุสัญญาฯ
“ขณะเดียวกัน ประเทศไทยได้เรียกร้องให้ประชาคมระหว่างประเทศดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อนำกัมพูชากลับสู่การปฏิบัติตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างสมบูรณ์”
ทั้งนี้ รัฐมนตรีต่างประเทศไทยได้เรียกร้องผู้เข้าร่วมประชุมดำเนินการอย่างเต็มที่เพื่อให้กัมพูชาปฏิบัติตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างเคร่งครัด พร้อมกันนั้นไทยได้ใช้กลไกทวิภาคีที่มีอยู่แก้ไขปัญหาไปพร้อมกัน
รวมถึงการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปและการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค
สำหรับความคืบหน้า เมื่อวันที่ 22 ส.ค. ในการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค สมัยวิสามัญ กัมพูชาเห็นพ้องในหลักการที่จะให้ความร่วมมือกับประเทศไทยในการเก็บกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม รายละเอียดของความร่วมมือดังกล่าวจะได้รับการพิจารณาเพิ่มเติมในการประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปในเดือน ก.ย.
- จี้กัมพูชาต้องไม่ขวางไทย
เพื่อให้ความร่วมมือนี้เกิดขึ้นอย่างแท้จริงและอย่างจริงใจ กัมพูชาจะต้องไม่ขัดขวางการปฏิบัติการเก็บกู้ทุ่นระเบิดของประเทศไทย ซึ่งเหตุการณ์เช่นนี้ได้เกิดขึ้นมาแล้ว 16 ครั้งในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา และจำเป็นอย่างยิ่งที่กัมพูชาต้องไม่วางทุ่นระเบิดใหม่ ต้องไม่กระทำอื่นใดที่จะทำให้สถานการณ์บานปลาย รวมถึงการใช้สตรีและเด็กเพื่อบุกรุกเข้ามาในดินแดนไทย
- ไทยพร้อมสร้างโลกปลอดทุ่นระเบิด
ประเทศไทยเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่า ไม่มีผู้ใดควรต้องทนทุกข์ทรมานจากอาวุธที่ไร้มนุษยธรรมนี้ โดยจะเข้าร่วมโครงการรณรงค์ระดับโลกเพื่อการลดอาวุธเพื่อมนุษยธรรมและการดำเนินการด้านทุ่นระเบิดของเลขาธิการสหประชาชาติ ซึ่งเป็นโครงการสำคัญที่สะท้อนถึงความรับผิดชอบร่วมกันเพื่อสนับสนุนให้ทุกประเทศทั่วโลกเข้าร่วมและปฏิบัติตามอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลอย่างครบถ้วน
การเข้าร่วมโครงการนี้ของประเทศไทยสะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่มีมาอย่างยาวนานของไทยต่อการลดอาวุธเพื่อมนุษยธรรมและกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ ตลอดจนย้ำถึงความมุ่งมั่นที่ต่อเนื่องของประเทศไทยต่ออนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์สูงสุดของอนุสัญญาห้ามทุ่นระเบิดสังหารบุคคล ซึ่งคือ การบรรลุโลกที่ปราศจากทุ่นระเบิดเพื่อคนรุ่นปัจจุบันและอนาคต
ในช่วงท้ายมาริษได้อ้างถึงคำพูดของ Jody Williams ผู้ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ ผู้ก่อตั้งการรณรงค์ระหว่างประเทศเพื่อห้ามทุ่นระเบิด ที่กล่าวไว้ว่า
“ทุ่นระเบิดไม่สามารถหยุดการรุกรานได้ ทุ่นระเบิดไม่สามารถเปลี่ยนผลลัพธ์ของสงครามได้ สิ่งที่ทุ่นระเบิดทำได้มีเพียงทำร้ายหรือพรากชีวิตประชาชนของตนเองเท่านั้น”
อ่านแถลงการณ์ฉบับเต็ม https://www.mfa.go.th/th/content/fm-remarks-at-apmbc-meeting







