แผนสำรอง ‘ประคองรัฐบาล’ ปิดประตู ‘นายกฯ’ นอกบัญชี เพื่อไทย

ลุ้นผลคดีร้อนคลิปเสียง 29 ส.ค.68 นายกฯ แพทองธาร จะได้ไปต่อ หรือต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ ดีลทางรอดของ "พรรคเพื่อไทย" ในกรณีผลไม่เป็นคุณ จับตา “นายใหญ่” ดีลใหม่พรรคร่วม
KEY
POINTS
- พรรคเพื่อไทยเตรียมแผนสำรองหาก "แพทองธาร ชินวัตร" ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกฯ โดยจะเสนอชื่อ "ชัยเกษม นิติสิริ" เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไปทันที
- แผนสำรองทางรอดของรัฐบาลใหม่ กรณี "แพทองธาร" พ้นตำแหน่งนายกฯ คือ การประคับประคองรัฐบาลเฉพาะกิจให้มีเสถียรภาพจนกว่าจะถึงวันเลือกตั้ง
- สถานการณ์ล่าสุด สส.พรรคเพื่อไทย ยังคงไม่เห็นด้วยกับการพึ่งพาแคนดิเดตนายกฯ นอกบัญชีพรรคเพื่อไทย เพราะจะตอบคำถามต่อฐานเสียงได้ยากในช่วงเลือกตั้ง
มีความเป็นไปได้สูงว่า "แพทองธาร ชินวัตร" คงไม่ลาออกจากนายกรัฐมนตรี ก่อนวันที่ 29 ส.ค.2568 เพื่อหาทางลง ให้ศาลรัฐธรรมนูญสั่งจำหน่ายคดีถูกยื่นถอดถอนพ้นตำแหน่ง จากกรณีคลิปเสียงเจรจากับสมเด็จ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งกัมพูชา
ที่ผ่านมา นายกฯ ตระกูลชินวัตร ทุกคนล้วนเดินหน้าเข้าสู่การต่อสู้คดีในชั้นศาลรัฐธรรมนูญ แม้ผลสุดท้ายมักจบลงด้วยผลของคำวินิจฉัยที่ไม่เป็นคุณ
สำหรับ แพทองธาร เมื่อตัดสินใจเดินฝ่ากับระเบิดนิติสงคราม ย่อมรู้ว่ากำลังเผชิญหน้ากับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีโอกาส “รอด” แล้วได้ไปต่อ หรือ “ร่วง” ชนิดปิดฉากทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางกระแสความคาดหมายทั้งทางลบ ทางบวก "นายใหญ่เพื่อไทย" ยังคงกำหนดทางรอดผ่าน “แผนสำรอง” เพื่อประคับประคองสถานการณ์ และรักษาเสถียรภาพรัฐบาลภายใต้การนำของพรรคค่ายแดงเอาไว้เพื่อให้นายกฯ ยังอยู่กับ "พรรคเพื่อไทย"
ในกรณีที่คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาในทางบวก แน่นอนว่า แพทองธาร จะยังคงไปต่อในตำแหน่งนายกฯ แต่คะแนนความนิยมของเธอจะยังไม่กลับมาฟื้นตัว โดยยังคงเผชิญมรสุมขาลง
ฉะนั้น แผนต่อไปของ "เพื่อไทย" จะต้องเตรียม “เปลี่ยนธงนโยบาย” ในวาระที่เหลือของรัฐบาลก่อนครบเทอมในปี 2570 เพื่อใช้เป็นผลงานให้ "พรรคเพื่อไทย" ไว้ใช้เป็นธงนำในการหาเสียง
ในทางกลับกัน หากผลคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญออกมาในทางลบ พรรคเพื่อไทยจะเดินหน้าตามแผนยุทธศาสตร์ที่กำหนดไว้ คือ การเสนอชื่อ “ชัยเกษม นิติสิริ” แคนดิเดตนายกฯ คนสุดท้ายของพรรค ขึ้นเป็นนายกฯ คนที่ 32
มีการคาดการณ์กันว่า หากมาถึงจุดนี้ ประธานสภาฯ จะต้องนัด สส.เข้าร่วมประชุมสภาฯในช่วงวันพุธที่ 3 ก.ย.2568 หรืออย่างไวที่สุดคือ วันจันทร์ที่ 1 ก.ย.2568 เพื่อไม่ให้เป็นการเปิดทางให้ไปถึงสูตรใช้บริการนายกฯ นอกบัญชีพรรคเพื่อไทย
โดยผู้มีอำนาจสูงสุดในพรรคเพื่อไทย จะกระชับดีลพรรคร่วมรัฐบาลในทันที เพื่อขอความเห็นชอบในการโหวตสนับสนุน “ชัยเกษม” ในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร ให้เร็วที่สุด
ท่ามกลางคดีร้อนชี้ชะตาจุดเสี่ยงจุดล่อแหลมตัวนายกฯ หญิง กลับมีการเสนอสูตรโยนหินถามทาง โดยหยิบยกชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา" และ ”พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค“ 2 แคนดิเดตนายกฯ จากพรรครวมไทยสร้างชาติ ขึ้นมาหยั่งกระแส
สำหรับชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ในระยะหลัง ถือว่ามีสัญญาณที่ดีต่อ “ทักษิณ ชินวัตร” เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการขอพระราชทานอภัยลดโทษให้กับ “ทักษิณ” เมื่อวันที่ 1 ก.ย.2566
ทว่า เมื่อประเมินเสียงภายในพรรคเพื่อไทย ชั่วโมงนี้ยังคงมีเสียงคัดค้านแนวทางเลือกโหวตนายกฯ ให้พรรคการเมืองอื่น ที่ไม่ใช่พรรคตัวเอง
อีกทั้ง 2 ชื่อดังกล่าว จากการหยั่งกระแสภายในพรรคยังไม่เป็นที่ยอมรับในหมู่ สส.พรรคเพื่อไทย และจะยิ่งเป็นการซ้ำเติมความนิยมพรรคเพื่อไทยให้ทรุดลงไปอีก
หากพรรคเพื่อไทยจำเป็นต้องเห็นชอบ พล.อ.ประยุทธ์ หรือ พีระพันธุ์ ก็ตาม จะทำให้นักเลือกตั้งค่ายแดงต้องเผชิญปัญหาในการตอบคำถามสังคม และฐานเสียงในพื้นที่ระหว่างการหาเสียงเลือกตั้ง และยิ่งตอกย้ำว่า คะแนนนิยมของพรรคเพื่อไทย อาจไม่ได้ สส.ถึงหลักร้อยในการเลือกตั้งครั้งหน้าได้
ถึงจุดนี้แล้วในทางการเมือง คนในพรรคเพื่อไทย จึงประเมินว่าไม่ควรเล่นเกมโหวตเห็นชอบแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคการเมืองอื่น จนทำให้สูตรเสนอชื่อแคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทยเป็นหมัน
ขณะที่ ชื่อของ "พีระพันธุ์" ก็ยิ่งเป็นไปได้ยาก เพราะอาจไม่ได้เสียงโหวตเห็นชอบจากพรรคร่วมรัฐบาลอย่างเป็นเอกภาพ โดยเฉพาะ ใน “พรรครวมไทยสร้างชาติ” เอง ที่ยังมีปัญหาการความขัดแย้ง แตกแยก แบ่งเป็นสองก๊ก ดังนั้น สูตรเลือกใช้บริการ “พีระพันธุ์” เป็นนายกฯ เวลานี้จึงมีโอกาสน้อยมากในทางการเมือง
หากมองไปที่ชื่อของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเวลานี้ พรรคสีน้ำเงินถอยฉากออกไปเป็นฝ่ายค้านแล้ว ก็แทบไม่มีทางเป็นไปได้ ที่พรรคร่วมรัฐบาลใด จะยอมโหวตให้ฝ่ายค้านมา เป็นนายกฯ
ในกรณีคำวินิจฉัยทางลบต่อ “แพทองธาร” ต้องพ้นนายกฯ ในวันที่ 29 ส.ค.68 คีย์แมนเพื่อไทย ยังมั่นใจว่า การเมืองคงต้องเดินหน้าต่อในสูตรพรรคร่วมรัฐบาลเดิม และจับมือกันผลักดันแคนดิเดตนายกฯ จากพรรคเพื่อไทยได้ ภายใต้เงื่อนไขบรรดาพรรคร่วมรัฐบาล ไม่พร้อมยุบสภาฯ ในเวลานี้
เพื่อไทยจึงพยายามเดินเกมในรูปแบบ แผน A แผน B และอาจจะปรับโฉม ครม.ใหม่ ภายใต้ดีลพรรคร่วมรัฐบาลในปัจจุบัน ซึ่งอาจมีการเปลี่ยนตัวรัฐมนตรีบางตำแหน่ง เช่นเดียวกับครั้งที่เปลี่ยนผ่านจากรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน มาเป็นรัฐบาลแพทองธาร
ส่วนไทม์ไลน์ในการฟอร์มคณะรัฐมนตรี และการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา คงกินเวลาร่วม 1 เดือน หรือภายในเดือน ก.ย.
ที่สำคัญ รัฐบาลผสมปริ่มน้ำชุดใหม่ ไม่ว่าผู้นำจะเป็นใครก็ตาม แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าจะถูกมองว่าเป็น "รัฐบาลเฉพาะกิจ" ที่ต้องประคับประคองสถานภาพ และสถานการณ์ไปก่อน เพื่อบริหารจัดการสถานการณ์ต่างๆ ให้ลุล่วงก่อนถึงวันยุบสภาฯ
เพื่อไทยตระหนักดีว่า กระแสขาลงของพรรค การเลือกตั้งครั้งหน้าจะยากกว่าครั้งใดๆ ด้วยไฟต์บังคับครั้งนี้ จำเป็นต้องประคองสถานการณ์ไปจนกว่าจะถึงการเลือกตั้งใหญ่ ซึ่งคาดว่าจะมีภายในปี 2569 ไม่ว่านายกฯ จะยังเป็น “แพทองธาร ชินวัตร” หรือเปลี่ยนฉากเป็น “ชัยเกษม นิติสิริ” ก็ตาม
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







