โจทย์ยาก ‘แพทองธาร’ สู้ 'คดีจริยธรรม' หน้าศาลรัฐธรรมนูญ

โจทย์ยาก ‘แพทองธาร’ สู้ 'คดีจริยธรรม' หน้าศาลรัฐธรรมนูญ

ไม่ว่า "แพทองธาร" จะไปให้การต่อศาล สู้คดีจริยธรรมวันนี้หรือไม่ ถูกประเมินว่าไม่มีผลใดต่อการตัดสินปลายเดือน เพราะพฤติกรรม กับ คลิปเสียงอังเคิล นั้นเข้าข่ายผิดชัดเจน

KEY

POINTS

  • ศาลรัฐธรรมนูญนัดไต่สวนคดีจริยธรรมของนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร กรณีคลิปเสียงสนทนากับสมเด็จฮุน เซน ตามคำร้องของกลุ่ม สว. ที่ยื่นให้ถอดถอนจากตำแหน่ง
  • มีการประเมิน 2 แนวทางเรื่องการเข้าให้ปากคำด้วยตนเอง ฝ่ายหนึ่งมองว่าเป็นผลดีทางการเมือง แต่อีกฝ่ายชี้ว่าเสี่ยงต่อการเพลี่ยงพล้ำทางคดีหากตอบคำถามนอกสคริปต์
  • 2 นักวิชาการกลุ่มรวมพลังแผ่นดินมองว่าการไปศาลหรือไม่ไป ไม่มีผลต่อคำวินิจฉัย เพราะศาลจะพิจารณาจากพฤติกรรมที่เกิดขึ้นแล้วเป็นหลักในประเด็น "ความซื่อสัตย์สุจริต" และ "การฝ่าฝืนจริยธรรม"
  • ผลของคดีนี้ หากชี้ว่าผิด ผลกระทบจะส่งตรงถึงเสถียรภาพของรัฐบาล และสถานะอำนาจทางการเมืองของ "ตระกูลชินวัตร"

วันที่ 21 ส.ค.2568 เป็นวันคล้ายวันเกิดปีที่ 39 ของ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯ และ รมว.วัฒนธรรม และเป็นวันเดียวกับที่ “ศาลรัฐธรรมนูญ” นัดไต่สวนตามคำร้อง ของ “คณะ สว.36 คน” ที่ยื่นเรื่องให้วินิจฉัย พร้อมถอดถอนจากตำแหน่ง 

เพราะมีพฤติกรรมเข้าข่าย “ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์” และ “ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง” กรณีคลิปเสียงสนทนากับ “สมเด็จ ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา

ศาลรัฐธรรมนูญ กำหนดเวลาให้ “แพทองธาร” เข้าให้ปากคำ เวลา 10.30 น. ข่าวว่า “คีย์แมนเพื่อไทย” ประเมินทิศทาง และเห็นสมควรให้ ไปด้วยตนเอง เพราะเป็นโอกาสเรียกคะแนนนิยมทางการเมือง คืนมาได้

เนื่องจากการได้ภาพว่า “แพทองธาร” กล้าเผชิญหน้ากับ “ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ” ที่ถูกวาดภาพให้เป็นฝ่ายตรงข้ามกับ “พรรคเพื่อไทย” คือ การไม่สยบยอมกับอำนาจนอกระบบ ที่จ้องล้มกระดานการเมือง

โจทย์ยาก ‘แพทองธาร’ สู้ 'คดีจริยธรรม' หน้าศาลรัฐธรรมนูญ

และจะเป็นภาพที่ได้ใจ “แฟนคลับเพื่อไทย” ที่เชื่ออย่างสนิทใจว่า “แพทองธาร” ที่สนทนากับ “สมเด็จฮุน เซน” ในก่อนหน้านั้น ไม่มีอะไรแอบแฝง เป็น “ความบริสุทธิ์ใจ” เพื่อช่วยประเทศ - คนไทย

และยิ่งเพิ่มน้ำหนักให้กับ “คำชี้แจง” ที่ “แพทองธาร” ลงลายมือชื่อ ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญไปก่อนหน้านี้ ซึ่งมีสาระสำคัญ ย้ำว่า “การสนทนากับสมเด็จฮุน เซน เป็นความตั้งใจเดียวที่จะรักษาผลประโยชน์ของชาติ ไม่มีประเด็น หรือเจตนาที่ทำให้ได้มาซึ่งประโยชน์ส่วนตน หรือถือเอาประโยชน์ตนเหนือกว่าผลประโยชน์ของชาติ”

ทว่าในมุมฝั่งตรงข้าม กลับมองว่า “แพทองธาร” จะสละสิทธิเข้าชี้แจงต่อหน้าศาลรัฐธรรมนูญ

เพราะอาจเป็นการเพลี่ยงพล้ำทางคดี หากหลุดปากในข้อซักถามที่อยู่นอกสคริปต์ โดยเฉพาะประเด็นการไม่ใช้อำนาจทางการบริหารที่เป็นทางการ เพื่อเร่งแก้ไขสถานการณ์ขัดแย้งชายแดนไทย-กัมพูชา แทน “ความสัมพันธ์ส่วนตัว” ที่ไม่มีใครตรวจสอบได้

โดย “คมสัน โพธิ์คง” นักวิชาการในกลุ่มรวมพลังแผ่นดิน ประเมินว่า นาทีสุดท้าย แพทองธารอาจสละสิทธิชี้แจง เพราะการชี้แจงต่อหน้าตุลาการศาลรัฐธรรมนูญนั้นไม่ง่าย แม้จะเตรียมตัวมาอย่างดี แต่หากหลุดปากไปในประเด็นอื่นที่ถูกซัก ที่ไม่ได้เตรียมมาอาจเป็นผลเสียมากกว่าผลดี

โจทย์ยาก ‘แพทองธาร’ สู้ 'คดีจริยธรรม' หน้าศาลรัฐธรรมนูญ

ขณะที่ “เจษฎ์ โทณะวณิก” นักวิชาการในกลุ่มรวมพลังแผ่นดิน และอดีตที่ปรึกษากรรมการร่างรัฐธรรมนูญ มองว่า “หากเธอกล้าที่จะเดินทางไปศาล อาจทำให้เห็นว่า เธอไม่หนีกระบวนการตรวจสอบ กล้าทำก็กล้ารับ แต่กรณีการชี้แจงต่อศาลต้องเตรียมตัวให้ดี จะใช้แค่ความมั่นใจสูง ไม่ได้ เพราะหากตอบคำถามของตุลาการไปคนละทิศละทางกับที่ได้เขียนอธิบายไว้ในเอกสาร อาจจะลดน้ำหนักข้อต่อสู้ได้”

นอกจากนั้น "2 นักวิชาการคณะรวมพลังแผ่นดิน" มีมุมความเห็นที่ตรงกัน คือ การไปศาลหรือไม่ไป ไม่ได้การันตีว่า “แพทองธาร” จะรอดพ้นจากคำวินิจฉัยให้ หลุดจากเก้าอี้ “นายกฯ” เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นนั้นมีพยานหลักฐานที่ชี้ให้เห็นถึงพฤติกรรมตามคำร้อง และเชื่อว่าคำอธิบายนั้นไม่มีผลหักล้างกับพฤติกรรมที่เกิดขึ้นมาแล้ว

ประเด็นนี้ “อ.คมสัน” ขยายความไว้ว่า การไป หรือไม่ไป นั้นไม่มีผลอะไรในการวินิจฉัยและการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 29 ส.ค.68 นี้ ที่เชื่อว่าโอกาสรอดคดี นั้นมีไม่มาก และโอกาสรอดของ “แพทองธาร” ในคดีคลิปเสียงนั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับการขึ้นให้การต่อหน้าศาลรัฐธรรมนูญ แต่คือ พฤติการณ์ที่เกิดมาก่อนหน้านั้น ในประเด็นนี้ คล้ายกับการพิจารณาคดียุบพรรคก้าวไกล ในคดีเสนอแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่ศาลรัฐธรรมนูญเชื่อมโยงถึงพฤติกรรมการเคลื่อนไหว ที่เป็นข้อเท็จจริง ก่อนหน้านั้น

“กรณีคลิปเสียงที่อ้างว่าเป็นแทกติกทางการทูต แต่หากเป็นคนที่มีความรู้ จะทราบว่าหลักการทางการทูตนั้นมีรายละเอียดหรือขั้นตอนอย่างไร ในการเจรจาเรื่องที่เป็นประเด็นขัดแย้ง หากทีมงานไม่อยู่ หรือไม่พร้อมไม่ควรคุย” อ.คมสัน มอง

 

 เช่นเดียวกับ “อ.เจษฎ์” ที่มองว่า คดีนี้จะตัดสิน มีข้อพิจารณา ประเด็นเดียว คือ “ซื่อสัตย์สุจริตหรือฝ่าฝืนจริยธรรมหรือไม่ ไม่ใช่ว่าเป็นประเด็นที่สร้างความเสียหายหรือไม่ หรือมีเจตนาหรือไม่”

“หากมองตามแนวทางที่ศาลรัฐธรรมนูญวางไว้ในคดีของ เศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ กรณีตั้ง พิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี คือ กรณีที่เศรษฐา ถามกฤษฎีกาอีกเรื่อง แต่กลับมาพูดเป็นอีกเรื่องหนึ่งถือว่าไม่ซื่อสัตย์ ดังนั้นกรณีของ แพทองธาร พูดแบบนั้นฮุน เซน แต่อธิบายกับคนไทย เป็นคนละทาง ไม่สามารถเรียกได้ว่ามีความซื่อสัตย์ แม้ว่าคำพูดนั้นยังไม่ทำให้ไทยเสียดินแดนหรือประโยชน์ แต่การพูดคุยในตำแหน่งนายกฯ ต้องพึงรักษาความจริงใจ ต่อให้อ้างว่าทำเพื่อชาติ ไม่ควรพูดลวงคนอื่น ตลบตะแลง ซึ่งผมมองว่าเป็นการแสดงออกซึ่งความไม่สุจริต ไม่ซื่อสัตย์ และคำที่พูดออกมานั้นแสดงให้เห็นว่าไม่ซื่อสัตย์กับคนไทย และแม่ทัพภาค 2”

โจทย์ยาก ‘แพทองธาร’ สู้ 'คดีจริยธรรม' หน้าศาลรัฐธรรมนูญ

ทว่า ในชั้นนี้ “ฝั่งที่เชียร์ เพื่อไทย-ตระกูลชินวัตร” ยังเชื่อว่า “นายน้อย” คือผู้บริสุทธิ์ และจะรอดจากการถูกเขี่ยพ้นเก้าอี้ รวมถึงการตัดสิทธิทางการเมือง เพราะหากผลออกมาในทางตรงข้าม ย่อมมี “วิบากกรรมการเมือง” รออยู่

สมการการเมืองหลังการพิพากษาของ​ “คีย์แมนเพื่อไทย” ช่วงปลายเดือนส.ค.นี้ อาจกระทบสถานะรัฐบาล และทำให้ “ทักษิณ ชินวัตร” ไม่ใช่ผู้คุมเกม อีกต่อไป

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์