ระบบอุปถัมภ์กับนโยบายเศรษฐกิจ

สัปดาห์ที่แล้วมีสื่อออนไลน์เผยแพร่บทความผมเรื่อง “วิถีและระบบในสังคมที่ทำให้ประเทศมีปัญหา” ซึ่งผมชี้ว่าปัญหาหลายอย่างในประเทศเรามีต้นตอมาจากการทำงานของระบบอุปถัมภ์ในสังคม
และเป็นการใช้ระบบอุปถัมภ์ในทางที่ผิด ทั้งในภาคการเมือง ภาคราชการและภาคธุรกิจ ทำให้ประเทศไม่ได้สิ่งที่ดีที่สุดและสร้างข้อจำกัดให้กับการเติบโตของเศรษฐกิจ
หลังบทความถูกเผยแพร่มีคำถามตามมาว่า ระบบอุปถัมภ์มีผลต่อการตัดสินใจด้านนโยบายหรือไม่ โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นคำถามที่ดี วันนี้จึงขอใช้พื้นที่นี้ตอบคำถามเพื่อให้แฟนคอลัมน์ “เศรษฐศาสตร์บัณฑิต” ได้รับทราบทั่วกัน
ประเทศไทยเรามีปัญหามากทั้งเรื่องการเมือง เศรษฐกิจและสังคม บางปัญหาสำคัญและยืดเยื้อเพราะไม่มีการแก้ไขจริงจัง เมื่อไม่แก้ไข ปัญหาก็รุนแรงมากขึ้นๆ เช่น การทุจริตคอร์รัปชัน
ต้นเหตุสำคัญของปัญหาเหล่านี้ส่วนหนึ่งมาจากการใช้ระบบอุปถัมภ์ในทางที่ผิด ที่บุคคลที่มีอำนาจทั้งอำนาจทางเศรษฐกิจ การเมืองและอํานาจที่มากับตำแหน่งหน้าที่ราชการ ช่วยเหลือคนในกลุ่มหรือพรรคพวกเดียวกันอย่างไม่เหมาะสมหรือแม้ผิดกฎหมาย เอาผลประโยชน์ของตนหรือของกลุ่มอยู่เหนือประโยชน์ของส่วนรวมและความถูกต้อง
ผลคือการตัดสินใจในเรื่องต่างๆ ไม่เป็นไปตามที่ควรจะเป็น รวมถึงการบังคับใช้กฎหมาย นำไปสู่การใช้ทรัพยากรเศรษฐกิจที่ผิดพลาด สิ่งเหล่านี้ทำให้ประเทศเสียโอกาส กระทบการเติบโตของเศรษฐกิจ และกระทบความไว้วางใจที่ประชาชนมีต่อรัฐบาลและสถาบันราชการ
ในแง่นโยบายเศรษฐกิจซึ่งก็คือ “นโยบายสาธารณะ” เป้าหมายของนโยบายสาธารณะคือการแก้ปัญหา ในประเทศเรา อิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ต่อนโยบายเศรษฐกิจมีให้เห็นในทุกขั้นตอนของการทำนโยบาย ไม่ว่าจะเป็น การออกแบบนโยบาย (Policy design) การกําหนดนโยบาย (Policy formulation) หรือ การขับเคลื่อนนโยบาย (Policy implementation)
ในการออกแบบนโยบาย ปฏิเสธไม่ได้ว่านโยบายมาจากรัฐบาลคือนักการเมืองและพรรคการเมือง ที่สังเกตได้ในปัจจุบันคือนโยบายเศรษฐกิจของพรรคการเมืองส่วนใหญ่จะไม่เน้นแก้ปัญหาที่ประเทศมี เช่นการทุจริตคอร์รัปชัน แต่เน้นเอาใจประชาชนเพื่อให้ได้คะแนนเสียงให้ชนะการเลือกตั้ง ที่เป็นอย่างนี้เพราะการเมืองบ้านเราก็เป็นการเมืองแบบอุปถัมภ์ที่นักการเมืองใช้ระบบอุปถัมภ์เป็นกลไกของการเข้าสู่อํานาจโดยการเลือกตั้ง
นโยบายพรรคการเมืองจึงจะถูกออกแบบไปในทางหาเสียงคือ “ประชานิยม” ตัวอย่างเช่นแจกเงิน สัญญาจะช่วยให้ประชาชนมีบ้านมีรถ การขึ้นค่าจ้างขั้นตํ่า ลดค่าโดยสาร ลดราคาน้ำมัน เพิ่มเงินดูแลผู้ยากไร้หรือผู้สูงวัย หรือประเภทหวือหวาด้วยคำพูด เช่น ดิจิทัลต่างๆ หรือทำสิ่งผิดกฎหมายให้ถูกกฎหมายให้ประชาชนตื่นเต้น หรือวาดฝันโครงการใหญ่โตที่อาจไม่จำเป็น
นโยบายเศรษฐกิจลักษณะนี้ ทำให้สิ่งที่นักการเมืองทำเมื่อมีอํานาจเป็นรัฐบาลกับปัญหาเศรษฐกิจที่ประเทศมีและควรแก้ไขจึงไม่ตรงกัน ปัญหาที่ประเทศมีจึงพอกพูนไม่มีการแก้ไข
ขั้นตอนการกําหนดนโยบาย คือ การเลือกมาตรการหรือสิ่งที่ต้องทำ (Policy option) เพื่อให้นโยบายประสบความสำเร็จ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับความรู้ความสามารถของผู้ทำนโยบาย คือ รัฐมนตรีเจ้ากระทรวงและข้าราชการในกระทรวง ในขั้นตอนนี้การเมืองในระบบอุปถัมภ์ อาจทำให้บุคลากรที่เข้ามาดูแลนโยบายระดับกระทรวงอาจไม่เหมาะกับตําแหน่งในแง่ความรู้และประสบการณ์ เพราะมาจากการเมืองต่างตอบแทน ขณะที่ข้าราชการก็อาจมาจากระบบเส้นสายไม่ใช่ระบบความสามารถ ความไม่ตรงและไม่พร้อมเหล่านี้มีผลต่อคุณภาพของการกําหนดนโยบาย
ท้ายสุดในการขับเคลื่อนนโยบาย ระบบอุปถัมภ์อาจมีส่วนทำให้ทุกอย่างติดขัดไปหมดไม่เดินหน้า เช่น นโยบายเปิดเสรีให้มีการแข่งขันมากขึ้นที่จะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ อาจติดระบบอุปถัมภ์ที่มีอยู่เดิมที่ภาคเอกชนรายใหญ่ที่ครองตลาดและเป็นผู้อุปถัมภ์ระบบราชการจะเสียประโยชน์ ทำให้ระบบราชการไม่กล้าแตะไม่กล้าเดินหน้าตามนโยบายและกลัวเสียประโยชน์ของตนตามไปด้วย ทำให้นโยบายล่าช้าไม่มีการผลักดันจริงจัง
การปฏิรูประบบราชการก็เช่นกัน ที่ระบบอุปถัมภ์ในระบบราชการอาจฝังลึก มีผลประโยชน์มากจากสิ่งที่มีอยู่ จึงไม่ต้องการเปลี่ยนแปลง ไม่ยอมรับว่ามีปัญหา หรือแม้แต่การลงโทษเอาผิดผู้ที่ทำผิดที่ระบบอุปถัมภ์ในภาครัฐทั้งนักการเมืองและข้าราชการอาจช่วยเหลือกันจนการเอาผิดไม่เดินหน้าและในที่สุดก็เงียบหายไป อย่างที่มีให้เห็น
นี่คือช่องทางที่ระบบอุปถัมภ์สามารถมีได้ต่อการกําหนดนโยบายสาธารณะและนโยบายเศรษฐกิจ ทำให้การทำนโยบายอย่างที่ควรทำเพื่อแก้ปัญหาและเพื่อประโยชน์ของส่วนรวมจึงไม่เกิดขึ้น นโยบายสาธารณะคือ การแก้ปัญหาเพื่อส่วนรวม ขณะที่ระบบอุปถัมภ์คือ การช่วยเหลือกันเพื่อประโยชน์ส่วนตน ทั้งสองอันนี้จึงไปด้วยกันไม่ได้
ด้วยเหตุนี้ ประเทศเราจึงไปไหนได้ไม่ไกลเพราะอิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ ไม่มีนโยบายที่ดีและความพยายามที่ดีที่จะสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงให้ประเทศดีขึ้น ประเทศและคนทั้งประเทศจึงเสียโอกาส ซึ่งน่าเสียดายมาก
การลดอิทธิพลของระบบอุปถัมภ์ในการทำนโยบายเศรษฐกิจจึงจำเป็นและสำคัญ ซึ่งวิธีแก้ก็คือ
1.ปลูกฝังการแข่งขันให้เป็นหัวใจของนโยบายเศรษฐกิจ เพราะประเทศเราอยู่ในระบบทุนนิยม การไม่แข่งขันคือการสร้างให้เกิดความได้เปรียบเสียเปรียบ ซึ่งคือที่มาของระบบอุปถัมภ์
2.ใช้เทคโนโลยีวิเคราะห์ข้อมูลและใช้การหารือกับผู้รู้หรือ Experts นอกระบบราชการให้มากในการกําหนดนโยบาย เช่น ภาควิชาการ และภาคธุรกิจ เพราะปัจจุบันความรู้ต่างๆ อยู่นอกระบบราชการมากกว่าในระบบราชการ ทั้งหมดจะทำให้ทางเลือกทางนโยบายมีมากขึ้น การแก้ไขตรงประเด็น และมีโอกาสสำเร็จสูง
3.มีธรรมาภิบาลในการทำนโยบายสาธารณะ โดยเฉพาะประเด็นผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งจุดอ่อนสำคัญในบ้านเราคือปัญหาประตูหมุนหรือ Revolving door ที่บุคลากรในภาคเอกชนเข้าไปช่วยงานการเมืองในฐานะที่ปรึกษาหรือรับตำแหน่งทางการเมือง มีอิทธิพลต่อการตัดสินใจด้านนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อตน หรือเข้าถึงข้อมูลราชการและนำข้อมูลเหล่านี้มาใช้ประโยชน์เมื่อตนกลับมาทำงานในภาคเอกชน
นี่คือความได้เปรียบเสียเปรียบที่มากับระบบอุปถัมภ์ระหว่างการเมืองกับธุรกิจที่ต้องหลีกเลี่ยง







