เบื้องลึก 2475 อภิวัฒน์สยาม 93 ปีติดหล่ม ‘ระบอบเก่า’ vs ‘ระบอบใหม่’

เบื้องลึก 2475 อภิวัฒน์สยาม 93 ปีติดหล่ม ‘ระบอบเก่า’ vs ‘ระบอบใหม่’

ความขัดแย้งของ “ระบอบเก่า” และ “ระบอบใหม่” ดำเนินการมายาวนานหลายสิบปีนับจากนั้น และอาจเรียกได้ว่ายังคงแฝง DNA ไว้ในความขัดแย้งทางการเมือง ณ ปัจจุบันก็เป็นไปได้?

24 มิ.ย.ของทุกปี คือวันครบรอบการเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบการปกครองของไทย โดยปีนี้ครบ 93 ปีนับตั้งแต่ คณะราษฎรดำเนินการ “อภิวัฒน์สยาม” มาตั้งแต่ 2475 ปัจจุบันประเทศไทยมี “นายกรัฐมนตรี” มาแล้ว 31 คน คนล่าสุดคือ “แพทองธาร ชินวัตร” จากพรรคเพื่อไทย บุตรสาว “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ที่กำลังบอบช้ำเป็น “ตำบลกระสุนตก” ทางการเมือง หลังปรากฏคลิปเสียงฉาว สนทนากับ “ฮุน เซน” ถึงปมร้าวชายแดนไทย-กัมพูชา

แม้ว่าสุดท้าย “รัฐนาวาแพทองธาร” จะนับหนึ่งเดินหน้าต่อ โดยเขี่ย “ภูมิใจไทย” พ้นสมการพรรคร่วมรัฐบาล จนเหลือ “เสียงปริ่มน้ำ” ก็ตาม แต่ด้วยมรสุมสารพัดคำร้องยังคงรุมเร้าอย่างหนัก ดังนั้นต้องจับตาดูกันว่า “รัฐนาวา” ลำนี้จะแล่นไปได้อีกไกล และอีกนานแค่ไหน และจะมีการยุบสภาฯเกิดขึ้นในอีกไม่นานหลังจากนี้หรือไม่

กลับมาที่เกร็ดประวัติศาสตร์วันเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิ.ย. 2475 ในเว็บไซต์สถาบันพระปกเกล้า เขียนบทความไว้อย่างน่าสนใจ โดยมี รศ.ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชุมพล เป็นผู้เรียบเรียง และ รศ.ดร.สนธิ เตชานันท์ เป็นผู้ทรงคุณวุฒิประจำบทความ กรุงเทพธุรกิจนำมาสรุป และเรียบเรียงใหม่ ดังนี้

ในวันเปลี่ยนแปลงการปกครอง 24 มิ.ย. 2475 คณะราษฎร นำโดย “สายทหาร” และ “สายพลเรือน” รวมตัวกันปฏิบัติภารกิจเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครอง โดยปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้การยึดอำนาจสำเร็จ นอกเหนือจากการดำเนินการรวมพลังและกำลังทหารอย่างมีแผนการ ความพร้อมที่จะเสี่ยงของแกนนำ และการกระทำการโดยพลันและพร้อมเพรียง สาระของประกาศคณะราษฎร ซึ่งพระยาพหลฯ ยืนอ่านที่กลางลานพระราชวังดุสิต ที่ระบุถึงหลัก 6 ประการของคณะราษฎรแล้วนั้น

สิ่งที่ช่วยให้การยึดอำนาจการปกครองครั้งนั้นประสบความสำเร็จโดยเร็วก็คือ การที่เจ้านายและนายทหารที่มีอำนาจสั่งการเพื่อต่อต้านการยึดอำนาจถูกควบคุมตัวไว้ได้เกือบทั้งหมด โดยเจ้านายที่สำคัญยิ่งคือ สมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมพระนครสวรรค์วรพินิตซึ่งคณะราษฎรได้ไปเชิญเสด็จจากวังบางขุนพรหม วังส่วนพระองค์ ไปประทับภายใต้การควบคุมของคณะราษฎรที่ภายในพระที่นั่งอนันตสมาคม ซึ่งคณะราษฎรได้เข้ายึดเป็นที่ทำการ 

ในภาวะเช่นนั้น พระองค์ผู้ซึ่งขณะนั้นทรงเป็นผู้สำเร็จราชการรักษาพระนคร ได้ทรงลงพระนามในประกาศความว่าคณะราษฎรได้ยึดอำนาจการปกครองไว้แล้ว และทรง “ขอให้ทหาร ข้าราชการและราษฎรทั้งหลายจงช่วยกันรักษาความสงบ อย่าให้เสียเลือดเนื้อของคนไทยกันเองโดยไม่จำเป็นเลย” ด้วยการทรงเติมวรรคสุดท้ายเพิ่มไปในร่างที่คณะราษฎรถวายให้ลงพระนาม พระองค์ทรงได้แปรน้ำเสียงสั่งการให้กลายเป็นคำเตือนสติ

ทั้งนี้ ธำรงศักดิ์ เพชรเลิศอนันต์ นักวิชการด้านประวัติศาสตร์ เคยวิเคราะห์คำประกาศนี้ไว้ “ด้านหนึ่งเท่ากับว่า “องค์อธิปัตย์” ของระบอบเก่าในพระนคร ทรงยอมรับว่าอำนาจของพระองค์ถูกยึดไปโดยคณะราษฎรแล้ว อีกด้านหนึ่งนั้นทำให้คณะราษฎรมีอำนาจอันชอบธรรมในการสั่งราชการใดๆ ในนามของ “รัฐบาลชั่วคราว” โดยมีผู้รักษาพระนครฝ่ายทหารเป็นผู้ใช้อำนาจ”

ขณะเดียวกันการยึดอำนาจดังกล่าว ดำเนินการไปอย่าง “ละมุนละม่อม” และมีการ “ประนีประนอม” อย่างมีเงื่อนไข ดังที่ รศ.ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชุมพล เรียบเรียงไว้ว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ ได้เสด็จพระราชดำเนินโดยรถไฟขบวนพิเศษถึงพระนครเมื่อเวลาประมาณ ตี 1 ซึ่งนับเป็นวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2475 แล้วเสด็จฯ ไปประทับ ณ วังศุโขทัย วังส่วนพระองค์ แทนที่จะเป็นที่พระที่นั่งอัมพรสถาน

จึงเสมือนว่าเป็นสัญลักษณ์ของการที่พระราชสถานะได้เปลี่ยนแปลงไป

ครั้นเวลา 11.00 น. ผู้แทนคณะราษฎร จำนวน 7 คน ได้เข้าเฝ้าฯ ทูลเกล้าฯ ถวายพระราชกำหนดนิรโทษกรรมในคราวเปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน พ.ศ. 2475 และพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยาม พ.ศ. 2475 เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชกำหนดตามที่ผู้แทนคณะราษฎรทูลเกล้าฯ ถวาย

แสดงให้เห็นถึงการประนีประนอมทางการเมือง การออกพระราชกำหนดเช่นนี้ในครั้งนั้นได้กลายเป็นแบบอย่างมาจนปัจจุบัน

ขณะเดียวกัน “ธรรมนูญการปกครอง” ฉบับชั่วคราว ที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธย เอาไว้นั้น พระองค์ก็รู้สึกไม่เห็นด้วย โดทรงมี พระราชบันทึก ข้อ 1 ทรงเท้าความว่าเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2475 ว่า “รู้สึกทันทีว่าหลักการของผู้ก่อการกับหลักการของข้าพเจ้าไม่พ้องกันเสียแล้ว...ข้าพเจ้าเห็นว่าเวลานั้นเป็นเวลาฉุกเฉิน และสมควรจะพยายามรักษาความสงบไว้ก่อน เพื่อหาโอกาสผ่อนผันภายหลัง และเพื่อสำเหนียกฟังความเห็นของประชาชนก่อน ข้าพเจ้าจึงได้ยอมผ่อนผันไปตามความประสงค์ของคณะผู้ก่อการในครั้งนั้น ทั้งที่ข้าพเจ้าไม่ได้เห็นด้วยกับหลักการเหล่านั้นเลย...”

ทั้งนี้ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงทราบจากการทรงอ่านว่า “หลักการ” ของคณะราษฎรกับของพระองค์ไม่เหมือนกัน เช่น สภาผู้แทนราษฎรที่คณะราษฎรตั้งขึ้นนั้นมีอำนาจสูงสุดโดยไม่มีการตรวจสอบถ่วงดุลใดๆ รวมถึงฐานะของพระองค์ได้ถูกลดทอนให้เป็นเพียง “ประมุขสูงสุดของประเทศ” คือสัญลักษณ์เท่านั้น ไม่ทรงมีพระราชอำนาจที่จะปฏิบัติการใดๆ ด้วยพระองค์เอง หากทรงปฏิบัติโดยไม่ได้รับคำแนะนำและรับรองโดยคณะกรรมการราษฎร ย่อมถือว่า “เป็นโมฆะ”

จะวิเคราะห์ก็ได้ว่าพระมหากษัตริย์มีไว้เพียงเพื่อให้คณะราษฎรที่ได้ยึดอำนาจการปกครองดูมีความชอบธรรมที่จะปกครอง

ทั้งนี้ รศ.ม.ร.ว. พฤทธิสาณ ชุมพล ได้ตั้งข้อสังเกตสุดท้าย ซึ่งสำคัญมากก็คือว่า ธรรมนูญฯ นี้และแผนการของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวในเรื่องระบอบการปกครอง รวมตลอดถึงร่างรัฐธรรมนูญฉบับสตีเวนส์/ศรีวิสาร มีลักษณะเป็นโครงการของการเปลี่ยนผ่านสู่ “ระบอบใหม่” ทั้งคู่ ความแตกต่างอยู่ที่ว่า “ระบอบใหม่” นั้นมีเป้าหมายที่ไม่เหมือนกัน แต่มีการใช้วลีภาษาไทยแทนคำว่า “Constitutional Monarchy” ให้ดูคล้ายกัน โดยที่ทั้งสองฝ่ายไม่ได้พูดจากันให้เข้าใจตั้งแต่แรกว่า มันคืออะไรกันแน่ ความขัดแย้งจึงตามมา

ซึ่งความขัดแย้งของ “ระบอบเก่า” และ “ระบอบใหม่” ดำเนินการมายาวนานหลายสิบปีนับจากนั้น และอาจเรียกได้ว่ายังคงแฝง DNA ไว้ในความขัดแย้งทางการเมือง ณ ปัจจุบันก็เป็นไปได้?

เรียบเรียงข้อมูลจาก: สถาบันพระปกเกล้าฯ