ไทยแก้เกมกัมพูชาเมินศาลโลก ‘แพทองธาร’ เสนอ ‘ฮุน มาเนต’ ถกทวิภาคี

ไทยแก้เกมกัมพูชา‘เมินศาลโลก’ ‘แพทองธาร’ เสนอ ‘ฮุน มาเนต’ ถกทวิภาคี แก้ปมพื้นที่อ้างสิทธิ์ ประชุม สมช.วันนี้ จับตามาตรการรุกกลับ หลังกัมพูชาไร้วาระ 4 พื้นที่วง JBC
KEY
POINTS
- ตั้งแต่เกิดเหตุปะทะระหว่าง “ทหารไทย” กับ “ทหารกัมพูชา” บริเวณช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี วันที่ 28 พ.ค. ผ่านมากว่า 1 สัปดาห์ สถานการณ์ความขัดแย้งพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
- "ฮุน มาเนต - ฮุน เซน" เดินเกมรุกยื่นข้อเสนอให้ "รัฐบาลไทย" ร่วมแก้ปัญหาพื้นที่อ้างสิทธิ์ใน "ศาลโลก"
- "แพทองธาร - ทักษิณ" ตั้งรับ สนับสนุนให้เจรจาทวิภาคี ทางการประชุม เจบีซี และยืนยันไทยไม่ยอมรับขอบเขตอำนาจศาลโลก
ตั้งแต่เกิดเหตุปะทะระหว่าง “ทหารไทย” กับ “ทหารกัมพูชา” บริเวณ ช่องบก อ.น้ำยืน จ.อุบลราชธานี วันที่ 28 พ.ค. ผ่านมากว่า 1 สัปดาห์ สถานการณ์ความขัดแย้งพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว
แม้ในวันถัดมา 29 พ.ค. พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบกของไทย จะเจรจากับ พล.อ.เมา โซะพัน ผู้บัญชาการทหารบกกัมพูชา โดยตกลงถอนกำลังออกจากพื้นที่ขัดแย้ง และในวันเดียวกัน “ฮุน มาเนต” นายกรัฐมนตรี กัมพูชา จะแสดงท่าที โพสต์เฟซบุ๊ก ไม่อยากเห็นไทย-กัมพูชาสู้รบ แต่พร้อมใช้กำลังทหารหากถูกรุกราน
ทว่า หลังจากนั้นทางการกัมพูชา กลับยกระดับความขัดแย้ง เปิดเกมตามยุทธศาสตร์ โดยวันที่ 1 มิ.ย. “ฮุน มาเนต” ระบุว่าในการประชุมคณะกรรมาธิการร่วมว่าด้วยการกำหนดเขตแดนทางบก หรือ JBC (Joint Boundary Committee) ที่พนมเปญ ในวันที่ 14 มิ.ย. กัมพูชาจะเชิญไทยร่วมกันนำข้อพิพาทขึ้นสู่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice : ICJ) หรือศาลโลก ณ กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์
ต่อมาวันที่ 2 มิ.ย. ที่ประชุมรัฐสภากัมพูชา เห็นชอบข้อเสนอ “ฮุน เซน” ประธานวุฒิสภากัมพูชา ให้ใช้ศาลโลกแก้ปัญหาข้อพิพาทชายแดน โดย “ฮุน มาเนต” ในฐานะรัฐบาลตอบรับข้อเสนอทันที พร้อมส่งเรื่องสู่ศาลโลกไม่ว่าไทยจะต้องการหรือไม่
จากนั้นในวันที่ 4 มิ.ย. รัฐบาลกัมพูชาออกแถลงการณ์ การนำเรื่องสู่การพิจารณาของศาลโลก พร้อมกับระบุว่าการประชุม JBC ในวันที่ 14 มิ.ย. จะไม่มีวาระเรื่องพื้นที่พิพาทที่ส่งไปศาลโลก
โดยเนื้อหาในแถลงการณ์ของรัฐบาลกัมพูชา ยืนยันจะเดินหน้ากระบวนการทางกฎหมายระหว่างประเทศนำ ข้อพิพาท 4 พื้นที่ชายแดน ได้แก่
- สามเหลี่ยมมรกต
- ปราสาทตาเมือนธม
- ปราสาทตาเมือนโต๊ด
- ปราสาทตาความ
เข้าสู่การพิจารณาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ
“พร้อมหวังว่าไทยจะให้ความร่วมมือในกระบวนการนี้ ขณะที่ระบุด้วยว่า 4 พื้นที่อ่อนไหวดังกล่าวจะไม่รวมอยู่ในวาระการประชุมคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (JBC) กับไทยในวันที่ 14 มิ.ย.68 นี้ รัฐบาลกัมพูชา (RGC) ดำเนินนโยบายต่างประเทศโดยยึดมั่นในสันติภาพ มิตรภาพ และความร่วมมือระหว่างประเทศมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งมีพรมแดนร่วมกันที่กำหนดขึ้นในสมัยอาณานิคมฝรั่งเศส”
“กัมพูชาแสดงความหวังว่าประเทศไทยจะให้ความร่วมมือในการนำคดีนี้ขึ้นสู่ ICJ ร่วมกัน ด้วยจิตวิญญาณแห่งความเป็นธรรม การสร้างความไว้วางใจ มิตรภาพระยะยาว และความเป็นเพื่อนบ้านที่ดี อย่างไรก็ตาม หากไม่ได้รับความร่วมมือ กัมพูชาก็พร้อมที่จะดำเนินการด้วยตนเอง”
ความเคลื่อนไหวของทางการไทย ท่าทีของ “รัฐบาล” กับ “กองทัพ” กลับไม่เป็นเอกภาพ โดย “กองทัพภาคที่ 2” เตรียมกองกำลังพร้อมที่จะสู้รบหากมีการล้ำเขตแดนเข้ามาในพื้นที่อ้างสิทธิ์
โดยที่ผ่านมามีกระแสข่าวแนวทางที่ไม่ตรงกัน โดยเฉพาะข้อเสนอของ “กองทัพ” ที่ต้องการให้ปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชา แต่ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ รมว.กลาโหม คัดค้านแนวทางดังกล่าว
ตั้งแต่วันที่ 28-31 พ.ค. ท่าทีของ “รัฐบาลไทย” ยังไม่ชัดเจน จนกระทั่งวันที่ 1 มิ.ย. มาริษ เสงี่ยมพงษ์ รมว.การต่างประเทศ แถลงจุดยืนไทย ยึด 3 กลไกหลัก เจรจา JBC (การประชุมคณะกรรมการเขตแดนร่วม) ซึ่งเป็นกลไกทางเทคนิคจัดตั้งขึ้นโดย MOU 2543 เพื่อหารือเรื่องการสำรวจและจัดทำหลักเขตแดน ทวิภาคี GBC (คณะกรรมการชายแดนทั่วไป ไทย-กัมพูชา)ซึ่งเป็นกลไกระดับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ RBC (คณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาค) ซึ่งเป็นกลไกระดับแม่ทัพภาค
ต่อมาวันที่ 4 มิ.ย. “รัฐบาลไทย” ออกแถลงการณ์ ยึดแนวทางสันติวิธี เจรจาผ่านกลไก JBC - GBC - RBC โดยเชื่อมั่นว่าไทยและกัมพูชาจะสามารถแก้ไขปัญหาร่วมกันได้ บนพื้นฐานของการเป็นเพื่อนบ้านที่ดี ความปลอดภัยและสวัสดิภาพของพี่น้องประชาชนบริเวณชายแดน รวมถึงความเป็นครอบครัวของ”อาเซียน”ด้วยกัน
ขณะที่ท่าที นายกฯแพทองธาร ชินวัตร ยืนยันว่า รัฐบาลและทางทหารมีการคุยกันตลอดว่าจะไปทางไหนอย่างไร เราต้องมั่นใจว่าเราเป็นประเทศไทย เพลงชาติของเราก็บอกอยู่แล้วไทยนี้รักสงบ แต่ถึงรบไม่ขลาด เราเตรียมพร้อมที่จะรักษาความปลอดภัยของคนไทยทุกคนอย่างแน่นอน
ในวันเดียวกัน 4 มิ.ย. ที่ประชุมสภาความมั่นคง หรือสมช.วงเล็ก ได้ประชุม และเตรียมตั้งกรรมการติดตามสถานการณ์
วันที่ 5 มิ.ย. แถลงการณ์รัฐบาลไทย ฉบับที่สอง เรียกร้องกัมพูชายุติขยายประเด็นชายแดน เสนอใช้กลไกทวิภาคี และ JBC พร้อมกับระบุว่า ตามที่ กัมพูชา แสดงความตั้งใจที่จะใช้กลไกของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศนั้น ประเทศไทยประกาศไม่ยอมรับในเขตอำนาจของศาล ICJ มาตั้งแต่ พ.ศ.2503 จนถึงปัจจุบัน
โดยทั้งสองฝ่ายมีกลไกทวิภาคีในการจัดการประเด็นปัญหาชายแดนอยู่แล้ว ซึ่งเป็นสิ่งที่ได้ตกลงกันตั้งแต่แรก สิ่งที่สำคัญคือ ทั้งสองฝ่ายต้องแก้ไขปัญหาในบริเวณที่มีการกระทบกระทั่งกันเท่านั้น ไม่ขยายประเด็นปัญหาออกไป ซึ่งจะสร้างความซับซ้อนของปัญหามากขึ้น
แถลงการณ์ระบุด้วยว่า ประเทศไทยไม่ต้องการเห็นฝ่ายใดได้รับความสูญเสียใดๆ และประเทศไทยกัมพูชา มีกลไกเรื่องเขตแดนอยู่แล้ว ซึ่งกลไกดังกล่าวโดยเฉพาะการทำงานของ JBC ในช่วง 26 ปีที่ผ่านมา ก็มีความคืบหน้าในหลายพื้นที่อย่างเห็นได้ชัด ดังเช่นในกรณีของสะพานมิตรภาพไทย - กัมพูชา (บ้านหนองเอี่ยน ตำบทท่าข้าม อำเภออรัญประเทศ จังหวัดสระแก้ว -และบ้านสตึงบท ตำบลปอยเปต อำเภอโอโจรว จังหวัดบันเตียเมียนเจย) และการก่อสร้างสะพานข้ามพรมแดนแห่งใหม่ ไทย กัมพูชา ที่บริเวณจุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด จังหวัดจันทบุรี กับบ้านปรม จังหวัดไพลิน กัมพูชา
“ประเทศไทยมีความพร้อมที่จะเข้าร่วมการประชุม JBC ในวันที่ 14 มิถุนายน 2568 นี้ และหวังว่าฝ่ายกัมพูชาจะแสดงถึงความปรารถนาเช่นเดียวกันในการร่วมมือกับไทยในลักษณะที่สะท้อนเจตนารมณ์ร่วมกันของเราในสันติภาพ เสถียรภาพ”
แถลงการณ์ฉบับสองของ “รัฐบาลไทย” เป็นไปในทิศทางเดียวกับท่าทีของ "แพทองธาร" ที่โพสต์เฟสบุ๊คส่วนตัว ระบุว่า "
รัฐบาลไทยขอเรียนว่า ประเทศไทยไม่ได้ให้การยอมรับเขตอำนาจศาล ICJ ในกรณีพิพาทต่างๆ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2503 จนถึงปัจจุบัน และขอย้ำว่าประเด็นที่เกิดขึ้นควรได้รับการแก้ไขปัญหาในบริเวณที่มีการกระทบกระทั่งกันเท่านั้น ไม่ขยายประเด็นปัญหาออกไป"
ในวันเดียวกัน “ภูมิธรรม” ยืนยันจะนำประเด็นพื้นที่พิพาทเข้าหารือใน JBC 14 มิ.ย. พร้อมกันนี้ได้เดินทางร่วมกับ พล.อ.ณัฐพล นาคพาณิชย์ รมช.กลาโหม พล.อ.ธงชัย รอดย้อย เสนาธิการทหารบก และคณะ เข้าร่วมหารือกับ พล.อ.เตีย เซยฮา (Tea Seiha) รองนายกฯ และรมว.กลาโหม กัมพูชา พล.อ.เอต สารัช (Eth Sarath) รองผู้บัญชาการทหารสูงสุดและเสนาธิการร่วม และคณะ
และในวันที่ 6 มิ.ย. “ภูมิธรรม” เรียกประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เวลา 10.00 น. เพื่อสรุปมาตรการตอบโต้กับสถานการณ์ที่เกิดขึ้นตามแนวชายแดน ไทย-กัมพูชา พร้อมทั้งย้ำจุดยืนรัฐบาล และกองทัพพร้อมปกป้องอำนาจอธิปไตย และดินแดนของไทยอย่างเต็มที่
ทั้งหมดคือความเคลื่อนของ “รัฐบาลไทย - รัฐบาลกัมพูชา” ในศึกพื้นที่อ้างสิทธิ์แนวชายแดนที่มีปัญหากันมาอย่างยาวนาน ในเชิงพื้นที่ “ทหาร” ของทั้งสองฝั่ง เตรียมพร้อมปกป้องอธิปไตยของตัวเอง
ในเชิงนโยบาย“รัฐบาล”ของทั้งสองฝ่าย จำเป็นต้องแสวงจุดร่วมสงวนจุดต่าง เพื่อหยุดยั้งความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้น







