ผ่าผังหุ้นซับซ้อน บ.ออกแบบตึก สตง. โยง ‘ไทโก้’ พันสินบนข้ามชาติ?

ผ่าเครือข่ายหุ้น “ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย)” 1 ในผู้ออกแบบก่อสร้างตึก สตง. หลังเกิดครหา “ปลอมลายเซ็น” ถือหุ้นไขว้กันไปมาซับซ้อนหลายบริษัท ปลายทางเจอถึงเครือข่าย 3 “คนไทย”
KEY
POINTS
- ผ่าเครือข่ายหุ้น “ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย)” 1 ในผู้ออกแบบก่อสร้างตึก สตง. หลังเกิดครหา “ปลอมลายเซ็น”
- พบถือหุ้นไขว้กันไปมาซับซ้อนหลายบริษัท ปลายทางเจอถึงเครือข่าย 3 “คนไทย”
- โยงใย “ไทโก้ อินเตอร์เนชั่นแนลฯ” อดีตบริษัทที่เคยถูกกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ เปิดเผยข้อมูล “สินบนข้ามชาติ” ปี 60 ผ่าน “ที่ปรึกษา” กว่า 40 ล้านบาท
- คุ้ย “ไทโก้ อินเตอร์เนชั่นแนลฯ” กวาดงานรัฐ 10 ปี 18 หน่วยงานรัฐ 64 สัญญา วงเงินกว่า 375 ล้าน คู่สัญญา CCTV รัฐสภา 56.3 ล้าน
- แต่ผลการสอบสวนแทบไม่เปิดเผยต่อสาธารณะ ข้อมูลล่าสุดคือปี 60 ยุค สนช.
เงื่อนงำอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ วงเงิน 2.1 พันล้านบาท ถล่มภายหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวเมื่อ 28 มี.ค. 2568 ผ่านมาเกือบ 1 เดือนแล้ว แต่ยังตามหาสาเหตุที่แท้จริงทำให้ตึกถล่มยังไม่เจอ โดยปมร้อนตอนนี้บรรดาหน่วยงานตรวจสอบต่างโฟกัสไปที่ประเด็น “ปลอมลายเซ็น” วิศวกรที่ควบคุมงานก่อสร้างตึก สตง. รวมถึงผู้ออกแบบโครงสร้างตึก สตง.ดังกล่าวด้วย
สำหรับการควบคุมการก่อสร้างตึก สตง.นั้น ดำเนินการโดยกิจการร่วม PKW ประกอบด้วย บริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จํากัด บริษัท ว.และสหาย คอนซัลแตนตส์ จํากัด และบริษัท เคพี คอนซัลแทนส์ แอนด์ แมเนจเม้น จํากัด เป็นผู้ชนะการเสนอราคา รวมวงเงิน 74,653,000 บาท (ได้รับวงเงินเพิ่มจากมติ ครม.เมื่อ ก.พ. 2568 เป็นเงิน 84,371,916 บาท)
“สมเกียรติ ชูแสงสุข” ที่ถูกระบุชื่อเป็น “ผู้ควบคุมงาน” ของกิจการร่วมค้า PWK ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ ยืนยันว่า มิได้เป็นผู้ลงนามในเอกสารให้ปรับแก้การออกแบบอาคาร สตง.แห่งใหม่ดังกล่าว เบื้องต้น “ทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม พร้อมด้วย “บิ๊กเนมดีเอสไอ” ได้เชิญสมเกียรติเข้าให้ถ้อยคำแล้ว
ส่วนการออกแบบตึก สตง.ดังกล่าว มูลค่าอย่างน้อย 73 ล้านบาท ตามการเปิดเผยของ สตง.มี 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท ฟอ-รัม อาร์คิเทค จำกัด และบริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด ล่าสุด ดีเอสไอได้ลงลึกการสอบสวนไปที่วิศวกรผู้ออกแบบก่อสร้างอาคาร สตง.ดังกล่าว ปรากฏชื่อ “พิมล เจริญยิ่ง” อายุ 85 ปี เป็นผู้ลงนาม เบื้องต้นเจ้าตัวยืนยันว่า ไม่ทราบเรื่อง ขณะเดียวกันยังมีวิศวกรผู้ออกแบบบางคนที่ออกมาปฏิเสธว่า ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เช่นกัน
ส่วนการแถลงข่าวของ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี เมื่อ 18 เม.ย.ที่ผ่านมา ถึงผลการตรวจสอบตึก สตง.ถล่ม ที่มีการประชุมร่วมหลายหน่วยงานทั้ง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กทม. กระทรวงมหาดไทย เป็นต้น นายกฯ ระบุตอนหนึ่งว่า เรื่องการปลอมแปลงลายเซ็นตนก็ได้รับรายงานว่ามีบางคนได้แจ้งมาว่าถูกปลอมแปลงลายเซ็น ก็ต้องตรวจสอบกันต่อไป ตนก็ได้รับทราบมาประมาณนี้แล้วว่า เจ้าของลายเซ็นบอกว่าถูกปลอมแปลง
เมื่อถามย้ำว่า จากข้อมูลการออกหมายจับใกล้หรือยัง นายกฯ กล่าวว่า “ใกล้ค่ะ การออกหมายจับใกล้มากแล้ว เป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีคนผิดเลยในเรื่องนี้ ก็ทราบอยู่แล้ว ว่ามีบางจุดแน่นอนที่ผิดไปจากทุกตึก อันนี้มันชัดเจน การที่จะไม่มีใครรับผิดชอบเรื่องนี้คงเป็นไปได้ยากมาก”
เงื่อนงำการ “ปลอมลายเซ็น” ของวิศวกร-ผู้คุมงานออกแบบนั้น “กรุงเทพธุรกิจ” นำเสนอไปรายชื่อบุคคลที่ลงนามในฐานะ “ผู้ออกแบบ” และ “วิศวกร” ที่เกี่ยวข้อง ปรากฏชื่อในเอกสารของ สตง. ทั้งหมดไปแล้วก่อนหน้านี้
อ่านข่าว: กางชื่อ ‘ผู้ออกแบบ-วิศวกร’ ตึก สตง. ดีเอสไอสาวลึก ‘ปลอมลายเซ็น’
ประเด็นที่น่าสนใจ รายของบริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด จดทะเบียนเมื่อ 19 ส.ค. 2534 ทุนปัจจุบัน 34 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 1550 ธนภูมิ ทาวเวอร์ ชั้นที่ 6, 15, 16 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ ให้บริการออกแบบด้านวิศวกรรม กรรมการ 7 คนคือ นายจอห์น เลียวนาด พอลลาร์ด นายธีระ วรรธนะทรัพย์ นายจอห์น สจ๊วต แอนเดอร์สัน นายเช็น เยา ฮุย นางสาวศศิพร ศิริลัทพร นายแมทธิว โทมัส ซิลเวสเตอร์ นายสมโภชน์ ศิริโชติ
นำส่งชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุดเมื่อ 28 ส.ค. 2567 บริษัท อาร์ซี นานา แอนด์ โค จำกัด ถือหุ้นใหญ่สุด 51.4147% บริษัท ไมน์ฮาร์ท เอเซีย พีทีอี ลิมิเต็ด (สัญชาติสิงคโปร์) ถือ 48.5850% ไมนฮาร์ท กรุ๊ป อินเตอร์เนชั่นแนล ลิมิเต็ด (สัญชาติฮ่องกง) ถือ 0.0003% นำส่งงบการเงินล่าสุดปี 2567 สินทรัพย์รวม 352,322,815 บาท หนี้สินรวม 258,690,155 บาท รายได้รวม 697,336,685 บาท รายจ่ายรวม 631,011,926 บาท ดอกเบี้ยจ่าย 723,236 บาท กำไรสุทธิ 65,601,523 บาท
เมื่อขยายผลเพิ่มเติมพบว่า บริษัทแห่งนี้มีการถือหุ้นไขว้กันไปมาอย่างซับซ้อน โดยบริษัท อาร์ซี นานา แอนด์ โค จำกัด ที่ถือหุ้นใหญ่บริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด จำนวน 51.4147% นั้น มีบริษัท เฟิสท์ เอเซีย อินดัสตรีส์ จำกัด ถือหุ้นใหญ่สุด 50.99%
ขณะที่บริษัท เฟิสท์ เอเซีย อินดัสตรีส์ จำกัด มีบริษัท โปรเฟสชั่นแนล ซิสเต็มส์ จำกัด ถือหุ้นใหญ่สุด 46.7520% และบริษัท บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล แอสโซซิเอทส์ จำกัด ถือรองลงมาที่ 27.5591%
สำหรับบริษัท โปรเฟสชั่นแนล ซิสเต็มส์ จำกัด มีบริษัท บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล แอสโซซิเอทส์ คอนซัลแทนส์ จำกัด ถือหุ้นใหญ่สุด 35% บริษัท ไทย คาชรุธ เซอร์วิสเซส จำกัด ถือ 31.8438% บริษัท บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล แอสโซซิเอทส์ จำกัด ถือ 30.9524% และนายรณชัย กฤษฎาโอฬาร ถือ 2.2038%
บริษัท บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล แอสโซซิเอทส์ คอนซัลแทนส์ จำกัด มีนางวรลักษณ์ ฉวรรณกุล ถือหุ้นใหญ่สุด 40.9250% บริษัท ราวด์ เทเบิ้ล จำกัด ถือรองลงมา 28.5% บริษัท บางกอก โฟกัส จำกัด ถือ 20.05% นายรณชัย กฤษฎาโอฬาร ถือ 10.5250%
ขณะที่ บริษัท บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล แอสโซซิเอทส์ จำกัด ที่ถือหุ้น 27.5591% ในบริษัท เฟิสท์ เอเซีย อินดัสตรีส์ จำกัด ข้างต้นนั้น พบว่า บริษัท บางกอก พาร์ทเนอร์ส จำกัด ถือหุ้นใหญ่สุด 99.9996% นายรณชัย กฤษฎาโอฬาร ถือ 0.0002% นายเสถียร เหมสินธุ์ ถือ 0.0002%
สรุปปลายทางของเครือข่ายหุ้น บริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด จะอยู่ในบริษัทเครือข่ายธุรกิจของ “รณชัย กฤษฎาโอฬาร-เสถียร เหมสินธุ์-ศิวัช มโนสัก” เข้าไปถือหุ้นแทบทั้งสิ้น
เช่น บริษัท ราวด์ เทเบิ้ล จำกัด มี บริษัท จีเอสพีเจ (ประเทศไทย) จำกัด ถือหุ้นใหญ่สุด 95% นายศิวัช มโนสัก ถือ 2.5% นายเสถียร เหมสินธุ์ ถือ 2.5%
บริษัท จีเอสพีเจ (ประเทศไทย) จำกัด มีนายเสถียร เหมสินธุ์ ถือหุ้นใหญ่สุด 50.99% นายศิวัช มโนสัก ถือ 49% นายรณชัย กฤษฎาโอฬาร ถือ 0.01%
ส่วนบริษัท บางกอก พาร์ทเนอร์ส จำกัด (ถือหุ้นใหญ่ใน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล แอสโซซิเอทส์) มีนายรณชัย กฤษฎาโอฬาร ถือหุ้น 11.1133% นายศิวัช มโนสัก ถือ 11.1133% นายเสถียร เหมสินธุ์ ถือ 11.1133% นายนพปฎล พลเหิม ถือ 11.1133% นายปณัสย์ ไตรพิบูลย์สุข ถือ 11.1133% นายวิทยา กิจจาวิจิตร ถือ 11.1133% นายพัฒนะ ศรีภักดี ถือ 11.1067% นายพรเทพ นิ่มสุวรรณ ถือ 11.1067% นายชาญทิศ นิลโพธิ์ ถือ 11.1067% ผู้ถือหุ้นรายย่อย (ไม่ได้เปิดเผยชื่อ) ถือ 0.0001%
ขณะที่บริษัท บางกอก โฟกัส จำกัด (ถือหุ้นในบางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล แอสโซซิเอทส์ คอนซัลแทนส์) มีบริษัท โปรเฟสชั่นแนล ซิสเต็มส์ จำกัด ถือหุ้นใหญ่สุด 58.3333% บริษัท บางกอก พาร์ทเนอร์ส จำกัด ถือ 20.4167% นายศิวัช มโนสัก ถือ 10.6250% นายเสถียร เหมสินธุ์ ถือ 10.6250%
ที่น่าสนใจ บรรดาผู้ถือหุ้นข้างต้น ทั้งในนาม “บุคคล-นิติบุคคล” บางแห่ง เคยปรากฏข่าวเข้าไปเกี่ยวโยงกับบริษัท ไทโก้ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด หรือ TYCO INTERNATIONAL (THAILAND) CO.,LTD ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ “ไทโก้ อินเตอร์เนชั่นแนล” ที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐอเมริกา เคยเปิดเผยข้อมูลเมื่อปี 2560 ว่า บริษัทแห่งนี้ติดสินบนผ่านบริษัทลูกในประเทศไทย ตั้งแต่ช่วงปี 2549 เป็นต้นมา ผ่าน “ที่ปรึกษา” รายหนึ่ง วงเงินประมาณ 292,286 ดอลล่าร์สหรัฐฯ (หรือราว 10 ล้านบาท) ในโครงการหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ทำให้บริษัทลูกในไทยได้กำไรจากโครงการสนามบินนานาชาติแห่งใหม่ กทม. เป็นเงิน 879,258 ดอลล่าร์สหรัฐฯ (ราว 30 ล้านบาท) และในช่วงเวลาเดียวกันยังจ่ายเงินจำนวนหนึ่งให้กับ “ที่ปรึกษา” อีกรายหนึ่ง ให้ได้มาซึ่งสัญญาการติดตั้งกล้องซีซีทีวีในรัฐสภาอีกด้วย
บริษัท ไทโก้ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ไทโก้ ไฟร์ ซิเคียวริตี้ แอนด์ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด) ก่อนหน้านี้พบว่าเมื่อปี 2547 มีผู้ถือหุ้น 2 ราย บริษัท ดับเบิลยูเอชซี โฮลดิ้งส์ จำกัด (สัญชาติไทย) ถือหุ้นใหญ่สุด 51% และ วอเตอร์ โฮลดิ้งส์ คอร์ป หรือ Water Holding Corp. (สัญชาติสหรัฐฯ) แจ้งที่อยู่ต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เลขที่ 1 ไทโก้ พาร์ค, เอกเตอร์ รัฐนิวแฮมเชียร์ 03633 สหรัฐฯ ถือหุ้น 49%
สำหรับบริษัท ดับเบิลยูเอชซี โฮลดิ้งส์ จำกัด (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็น บริษัท ซูเปอร์ บริลเลียนท์ โฮลดิ้ง จำกัด) เมื่อปี 2549 มีนายรณชัย กฤษฎาโอฬาร และนายวิทยา กิจจาวิจิตร เป็นกรรมการ มีผู้ถือหุ้น 2 รายคือ บริษัท ราวด์ เทเบิ้ล จำกัด ถือหุ้นใหญ่สุด 51% และบริษัท ไทโก้ กรุ๊ป เอส. เอ. อาร์. แอล. จำกัด หรือ Tyco Group S.a.r.l. (สัญชาติลักซัมเบิร์ก) แจ้งที่อยู่กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า เลขที่ 26 ชั้น 6 บัวลีวาร์ด โรแยล, แอล-2449 ประเทศลักซัมเบิร์ก ถือหุ้น 49%
ส่วนข้อมูลผู้ถือหุ้นล่าสุดในปัจจุบัน (ในนามบริษัท ซูเปอร์ บริลเลียนท์ โฮลดิ้ง จำกัด) เมื่อ 31 ม.ค. 2568 นายรณชัย กฤษฎาโอฬาร ถือหุ้นใหญ่สุด 53.1887% นายศิวัช มโนสัก ถือ 40.9445% นายเสถียร เหมสินธุ์ ถือ 5.8667% ผู้ถือหุ้นรายย่อย (ไม่เปิดเผยชื่อ) ถือ 0.0001%
นับตั้งแต่ปี 2544-2554 พบว่าเครือข่ายบริษัทของ “ไทโก้ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย)” เข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐอย่างน้อย 18 แห่ง อย่างน้อย 64 สัญญา รวมวงเงินกว่า 375 ล้านบาท ในจำนวนนี้เป็นคู่สัญญากับสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ช่วงปี 2544-2553 จำนวน 13 โครงการ วงเงินประมาณ 100.5 ล้านบาท โดยเป็นการจัดซื้อกล้อง CCTV 2 โครงการ วงเงินประมาณ 56.3 ล้านบาท
อย่างไรก็ดีปัจจุบัน บริษัท ไทโก้ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ได้เปลี่ยนกลุ่มผู้ถือหุ้นใหม่ทั้งหมด โดยขายให้กลุ่มทุนจากญี่ปุ่น เมื่อปี 2554 และเปลี่ยนชื่อมาเป็น บริษัท ทาคาชิโฮ ไฟร์ ซิเคียวริตี้ แอนด์ เซอร์วิสเซส (ประเทศไทย) จำกัด มีบริษัท ทีเค ไทย โฮลดิ้งส์ จำกัด ถือหุ้นใหญ่สุด 50.9281% บริษัท ทาคาชิโฮะ โคอิเกะ จำกัด (สัญชาติญี่ปุ่น) ถือ 49.0718% ผู้ถือหุ้นรายย่อยถืออีก 0.0001% และนายเคอิชิ โอบาระ ถือ 4 หุ้น ซึ่งไม่มีความเกี่ยวข้องกับ “ไทโก้ อินเตอร์เนชั่นแนล” และกลุ่มผู้บริหารชุดเดิมอีกต่อไป
ความคืบหน้าเรื่องนี้ล่าสุดเท่าที่ปรากฏเป็นข่าวเกิดขึ้นเมื่อปี 2560 พล.อ.อ.วีรวิท คงศักดิ์ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) เป็นประธานคณะกรรมการตรวจสอบฯเรื่องดังกล่าว ภายหลังกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯเผยแพร่ข้อมูลนี้ โดยเขาระบุว่า ข้อมูลที่ได้จากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ มีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับข้อมูลการจัดซื้อจัดจ้างกล้องซีซีทีวีของรัฐสภาที่ตรงกันหลายจุด ทั้งช่วงเวลาบริษัทที่เข้ามาเกี่ยวข้อง และขั้นตอนการดำเนินการ ซึ่งมีแนวโน้มว่าเกิดการทุจริต และเตรียมเสนอให้ประธาน สนช. (นายพรเพชร วิชิตชลชัย ขณะนั้น) อย่างไรก็ดีเรื่องนี้ก็เงียบหายไป และไม่ปรากฏเป็นข่าวทางสาธารณะอีกเลย แม้ว่าจะมีการส่งผลการตรวจสอบของ สนช.ดังกล่าวไปยังสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แล้วก็ตาม
ทั้งนี้ในรายงานผลการตรวจสอบของ สนช. หรือการตรวจสอบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ยังไม่มีการเปิดเผยชื่อผู้ถูกกล่าวหาในเรื่องนี้ ดังนั้นชื่อของบุคคล และนิติบุคคลที่เข้าไปถือหุ้นข้างต้น จึงยังไม่ถูกร้องเรียนเกี่ยวกับปัญหาการจัดซื้อจัดจ้าง หรือการรับให้สินบนข้ามชาติแต่อย่างใด