กางชื่อ ‘ผู้ออกแบบ-วิศวกร’ ตึก สตง. ดีเอสไอสาวลึก ‘ปลอมลายเซ็น’

เงื่อนงำการสร้างอาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) แห่งใหม่ วงเงินกว่า 2.1 พันล้านบาท ที่สาธารณชนกำลังตามติด และวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก หลังเกิดเหตุถล่มลงมาตอนเกิดแผ่นดินไหวเมื่อ 28 มี.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งถูกสร้างโดยกิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี

“กรุงเทพธุรกิจ” ได้ตรวจสอบ และนำเสนอข้อมูลเครือข่ายของ “ไชน่า เรลเวย์ นัมเบอร์ 10” 1 ในบริษัทในนามกิจการร่วมค้า ไอทีดี-ซีอาร์อีซี พบข้อเท็จจริงว่า มี “ทุนจีน” ถือหุ้นใหญ่สุด 49% มี “คนไทย” 3 คนเข้าไปร่วมเป็นกรรมการและถือหุ้น จากการขยายผลพบว่า ถือหุ้นในเครือข่ายอีก 14 บริษัท และกวาดงานจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐอย่างน้อย 29 โครงการ รวมวงเงินไม่ต่ำกว่า 2.2 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ยังมีเครือข่ายในชื่อ “ไชน่า เรลเวย์” จดทะเบียนในไทยอีกอย่างน้อย 14 บริษัท ทุนจดทะเบียนกว่า 5.7 พันล้านบาท

โฟกัสเรื่องการสร้างตึก สตง.แห่งใหม่ ขณะนี้ถูกแบ่งออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน 1.การว่าจ้าง “นอมินี” คนไทย เข้าไปถือครองหุ้นแทน “ทุนจีน” โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) อยู่ระหว่างสืบสวน และทำหนังสือเรียก 3 คนไทยที่เกี่ยวข้องเข้าไปให้ปากคำแล้ว ทว่ายังไม่พบ 3 คนไทยดังกล่าว จึงอยู่ระหว่างติดตามจับกุมมาดำเนินการ

2.สาเหตุที่ทำให้ตึก สตง.ถล่มลงมา ทั้งที่ก่อสร้างโครงสร้างแล้วเสร็จจนถึงชั้นบนสุดแล้ว เบื้องต้น กระทรวงอุตสาหกรรม นำโดย “เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” รมว.อุตสาหกรรม ลงพื้นที่เก็บตัวอย่างพบว่ามีการใช้ “เหล็กข้ออ้อย” ที่ส่อไม่ได้มาตรฐานในการก่อสร้าง เหล็กดังกล่าวถูกระบุว่าเป็นของ “ซินเคอหยวน สตีล” ที่มี “ทุนจีน” ถือหุ้นใหญ่เช่นกัน และถูกขึ้น “แบล็คลิสต์” ของกระทรวงอุตสาหกรรมไปตั้งแต่ปลายปี 2567 ที่ผ่านมา ปัจจุบันกระทรวงอุตสาหกรรมกำลังสืบสวนเรื่องดังกล่าวอยู่

3.ประเด็น “ปลอมลายเซ็น” วิศวกรที่ควบคุมงานก่อสร้างตึก สตง. ซึ่งมีการว่าจ้างกิจการร่วม PKW ประกอบด้วย บริษัท พี เอ็น ซิงค์โครไนซ์ จํากัด บริษัท ว.และสหาย คอนซัลแตนตส์ จํากัด และบริษัท เคพี คอนซัลแทนส์ แอนด์ แมเนจเม้น จํากัด เป็นผู้ชนะการเสนอราคา รวมวงเงิน 74,653,000 บาท (ได้รับวงเงินเพิ่มจากมติ ครม.เมื่อ ก.พ. 2568 เป็นเงิน 84,371,916 บาท) 

โดย “สมเกียรติ ชูแสงสุข” ที่ถูกระบุชื่อเป็น “ผู้ควบคุมงาน” ของกิจการร่วมค้า PWK ได้เข้าแจ้งความกับตำรวจ ยืนยันว่า มิได้เป็นผู้ลงนามในเอกสารให้ปรับแก้การออกแบบอาคาร สตง.แห่งใหม่ดังกล่าว เบื้องต้น “ทวี สอดส่อง” รมว.ยุติธรรม พร้อมด้วย “บิ๊กเนมดีเอสไอ” ได้เชิญสมเกียรติเข้าให้ถ้อยคำแล้ว ขณะเดียวกันมีรายงานข่าวแจ้งว่า ดีเอสไอได้ลงลึกการสอบสวนไปที่วิศวกรผู้ออกแบบก่อสร้างอาคาร สตง.ดังกล่าว ปรากฏชื่อ “พิมล เจริญยิ่ง” อายุ 85 ปี เป็นผู้ลงนาม เบื้องต้นเจ้าตัวยืนยันว่า ไม่ทราบเรื่อง 

สำหรับเอกชนที่ได้รับเลือกให้ออกแบบการสร้างอาคาร สตง. มูลค่าอย่างน้อย 73 ล้านบาท ตามการเปิดเผยของ สตง.มี 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท ฟอ-รัม อาร์คิเทค จำกัด และบริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อขยายความให้ชัดขึ้น “กรุงเทพธุรกิจ” นำเสนอรายชื่อบุคคลที่ลงนามในฐานะ “ผู้ออกแบบ” และ “วิศวกร” ที่เกี่ยวข้อง ปรากฏชื่อในเอกสารของ สตง. ทั้งหมด ดังนี้

1.บริษัท ฟอ-รัม อาร์คิเทค จำกัด 5 ราย ได้แก่ อภิรักษ์ เอี่ยมธรรม ว.สถ. 383 สุชาติ ชุติปภากร ว.สถ. 503 ศรีพร ศิริสัมพันธ์ ส.สถ. 1984 ณัฏฐ์ พหุโล ภ.สถ. 16742 บัญชา แป้นนา ภ.สถ. 14558 นอกจากนี้ยังปรากฏชื่อคนออกแบบ “สถาปัตยกรรมไทย” ลงนามโดย อาจารย์เผ่า สุวรรณศักดิ์ศรี ส.สถ.960 ศิลปินแห่งชาติ ทัศนศิล สถาปัตยกรรมไทย 

2.บริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด ตำแหน่ง Structure Engineers (วิศวกรโครงสร้าง) 5 ราย ได้แก่ พิมล เจริญยิ่ง วย. 639 ธีระ วรรธนะทรัพย์ สย. 6483 สุพล อัครอารีสุข สย. 7730 ชัยณรงค์ เสียงไพรพันธ์ สย. 9943 อภิชาติ รักษา สย. 11029 ตำแหน่ง Electrical Engineers (วิศวกรไฟฟ้า) 2 ราย ได้แก่ สมศักดิ์ ฤทธิบูรณ์ ว.ฟก. 1202 อภิชิต ฤทธิบูรณ์ ภ.ฟส. 15571 ตำแหน่ง Mechanical Engineers (วิศวกรเครื่องกล) 2 ราย ได้แก่ เชาวลิตร บุญจันทร์ วก.601, วส.57 พัชร ผ่องเจริญกุล ภก.43085

ตำแหน่ง Sanitary Engineers (วิศวกรสุขาภิบาล) 2 ราย ได้แก่ สุภัทร สันติภิรมย์กุล วก. 578, วส. 87 วรวรรณ ถวิลกิจ สส.233 ตำแหน่ง Fire Protection Engineers (วิศวกรป้องกันอัคคีภัย) 1 ราย คือ เชาวลิตร บุญจันทร์ วก. 601, วส.57 ตำแหน่ง Landscape Architecture (สถาปนิกภูมิทัศน์) 3 ราย ได้แก่ รศ.ดร.พงศ์ศักดิ์ วัฒนสินธุ์ ว-ภส.3 พงษ์ศักดิ์ เหล่ามานะเจริญ ส-ภส.31 มังกร ชัยเจริญไมตรี ส-ภส.72 ตำแหน่ง Interior Designers (ออกแบบภายใน) 4 ราย ได้แก่ กันทิมา ชลายนเดชะ ว-สน.29 อุดมศักดิ์ ตั้งอมรศิริ ว.สถ. 605 ณัฐินี ศิลปกาลประดิษฐ ภ-สน. 1101 ฉัตราภรณ์ เจียสกุล ภ-สน. 724

โดยในการลงนามข้างต้น ถูกระบุว่าเป็น “แบบก่อสร้างที่สมบูรณ์” Drawing by. (วาดโดย) PONKRAI S. และ Checked By. (ตรวจสอบโดย) SOMSAK R. ลงนามเมื่อ เม.ย. 2562 

ในชื่อต่าง ๆ ข้างต้น ปรากฏชื่อบุคคลดังในแวดวงสถาปัตยกรรม เช่น อาจารย์เผ่า สุวรรณศักดิ์ศรี (อายุ 73 ปี) ศิลปินแห่งชาติ ทัศนศิล สถาปัตยกรรมไทย อาจารย์สอนสถาปัตยกรรมไทย ที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พงษ์ศักดิ์ เหล่ามานะเจริญ นายกสมาคมนิสิตเก่า คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เคยดำรงตำแหน่งนายกสมาคมภูมิสถาปนิกประเทศไทย เป็นต้น

ส่วนข้อมูล 2 เอกชนที่ได้งาน “ออกแบบก่อสร้าง” ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่า บริษัท ฟอ-รัม อาร์คิเทค จำกัด เคยเป็นคู่สัญญารัฐ 1 แห่งในการออกแบบก่อสร้างอาคาร อบต.สะเดียง จ.เพชรบูรณ์ เมื่อปี 2566 วงเงิน 2.62 ล้านบาท โดยบริษัทนี้จดทะเบียนเมื่อ 25 ก.ค. 2532 ทุนปัจจุบัน 5.3 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 184/218-220 อาคารฟอรัม ทาวเวอร์ ชั้น 31 ถนนรัชดาภิเษก แขวงห้วยขวาง เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ บริการออกแบบให้คำปรึกษางานสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม ตกแต่งภายใน กรรมการ 2 คนคือ นายอภิรักษ์ เอี่ยมธรรม นายสุชาติ ชุติปภากร

นำส่งชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุด 21 พ.ย. 2567 นายอภิรักษ์ เอี่ยมธรรม ถือหุ้นใหญ่สุด 50.9434% นายสุชาติ ชุติปภากร ถือหุ้น 24.5283% นางศรีพร ศิริสัมพันธ์ ถือ 24.5283% นำส่งงบการเงินล่าสุดเมื่อปี 2566 สินทรัพย์รวม 5,522,324 บาท หนี้สินรวม 5,774,486 บาท รายได้รวม 3,458,014 บาท รายจ่ายรวม 4,691,935 บาท ขาดทุนสุทธิ 1,233,920 บาท

บริษัท ไมนฮาร์ท (ประเทศไทย) จำกัด จดทะเบียนเมื่อ 19 ส.ค. 2534 ทุนปัจจุบัน 34 ล้านบาท ตั้งอยู่ที่ 1550 ธนภูมิ ทาวเวอร์ ชั้นที่ 6, 15, 16 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงมักกะสัน เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร วัตถุประสงค์ ให้บริการออกแบบด้านวิศวกรรม กรรมการ 7 คนคือ นายจอห์น เลียวนาด พอลลาร์ด นายธีระ วรรธนะทรัพย์ นายจอห์น สจ๊วต แอนเดอร์สัน นายเช็น เยา ฮุย นางสาวศศิพร ศิริลัทพร นายแมทธิว โทมัส ซิลเวสเตอร์ นายสมโภชน์ ศิริโชติ

นำส่งชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุดเมื่อ 28 ส.ค. 2567 บริษัท อาร์ซี นานา แอนด์ โค จำกัด ถือหุ้นใหญ่สุด 51.4147% บริษัท ไมน์ฮาร์ท เอเซีย พีทีอี ลิมิเต็ด (สัญชาติสิงคโปร์) ถือ 48.5850% ไมนฮาร์ท กรุ๊ป อินเตอร์เนชั่นแนล ลิมิเต็ด (สัญชาติฮ่องกง) ถือ 0.0003% นำส่งงบการเงินล่าสุดปี 2567 สินทรัพย์รวม 352,322,815 บาท หนี้สินรวม 258,690,155 บาท รายได้รวม 697,336,685 บาท รายจ่ายรวม 631,011,926 บาท ดอกเบี้ยจ่าย 723,236 บาท กำไรสุทธิ 65,601,523 บาท