‘ทักษิณ-เนวิน’ แผลเก่า ฉากใหม่ ถึงเวลา 'จบแล้วครับนาย'?

แผลลึกในใจ จากวลี 15 ปี “มันจบแล้วครับนาย” จะถูกแปรเปลี่ยนเป็นเกมการเมืองที่สมประโยชน์แบบ “วิน-วิน” ของทั้ง 2 ฝ่ายได้หรือไม่ อย่างไร
KEY
POINTS
- นับตั้งแต่เพื่อไทย และ ภูมิใจไทย จับมือตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว มีคำถามว่า แผลลึกในใจ ระหว่าง “2ผู้มากบารมี” จากวลี “มันจบแล้วครับนาย” จะถูกแปรเปลี่ยนเป็นเกมการเมืองที่สมประโยชน์แบบ “วิน-วิน” ของทั้ง 2 ฝ่ายได้หรือไม่ อย่างไร หรือแท้จริงแล้ว เป็นแค่การปิดฉากเรื่องเก่า เปิดฉาก“เกมอำนาจ” บทใหม่ กันแน่?
- ไม่ต่างจากจังหวะย่างก้าวของ “2 นายใหญ่” เฉพาะที่ปรากฎเป็นข่าวอย่างน้อย 2 ครั้ง 2 คราหลังจากนั้น ก็ยังปรากฎฉากวัดพลัง หลายปมร้อน ระหว่าง “มุมแดง” และ “มุมน้ำเงิน” มีการเอาคืนกันไปมา
- สถานการณ์ระหว่าง 2 พรรคขั้วรัฐบาลที่นับวันจะยิ่งร้าวลึกหนักขึ้นเรื่อยๆต้องจับตาว่า การรุกกลับของเพื่อไทยครั้งนี้จะเป็นเพียงการกดดันเรื่องปรับ ครม.ครั้งหน้า เพื่อริบคืนบางกระทรวงกลับมาล ใช้ประโยชน์ในทางการเมือง หรือแท้จริงเป็นสัญญาณฟื้นตำนาน“มันจบแล้วครับนาย” พร้อมแตกหักระหว่าง “2 พรรคการเมือง”
นับตั้งแต่การจัดตั้ง “รัฐบาลผสมข้ามขั้ว” เมื่อช่วงกลางปี 2566 นำมาสู่การจับมือกันระหว่าง “พรรคเพื่อไทย” และ “ภูมิใจไทย” จนถึงเวลานี้ เวลาล่วงเลยมากว่า 1 ปี เปลี่ยนผ่านนายกรัฐมนตรี จาก “เศรษฐา ทวีสิน” มาสู่ “แพทองธาร ชินวัตร”
ปฏิเสธไม่ได้ว่า ทุกย่างก้าวของ “2 ผู้มากบารมี” ทั้ง “ทักษิณ ชินวัตร” นายใหญ่เพื่อไทย และ “เนวิน ชิดชอบ” นายใหญ่ภูมิใจไทย ย่อมถูกจับตาว่า แผลลึกในใจ จากวลี 15 ปี “มันจบแล้วครับนาย” จะถูกแปรเปลี่ยนเป็นเกมการเมืองที่สมประโยชน์แบบ “วิน-วิน” ของทั้ง 2 ฝ่ายได้หรือไม่ อย่างไร
แท้จริงแล้ว เป็นการปิดตำนานร้าวลึก 15 ปีอย่างถาวร หรือเอาเข้าจริง เป็นแค่การปิดฉากเรื่องเก่า เปิดฉาก“เกมอำนาจ” บทใหม่ กันแน่?
อย่างที่รู้กันว่า จนถึงวินาทีนี้ “พรรคเพื่อไทย” ในฐานะแกนนำรัฐบาล ไม่ได้ถืออำนาจแบบเบ็ดเสร็จเหมือนในอดีต แต่กลับมี “พรรคภูมิใจไทย” ซึ่งเป็นพรรคลำดับสองในซีกรัฐบาล ที่ถือดุลอำนาจใน“สภาล่าง” ระดับที่สามารถสร้างแรงต่อรอง แถมยังมีอำนาจใน“สภาสูง” ขี่คอพรรคอันดับ 1 อยู่อีกชั้น
ไม่แปลกที่ระยะเวลากว่า 1 ปีที่ผ่านมา จะได้เห็นฉากของการปล่อยหมัดซัดกันไปมาระหว่าง “มุมแดง” และ “มุมน้ำเงิน” ทั้งบนดินและใต้ดิน นับครั้งไม่ถ้วน
เห็นชัดจากที่ “ทักษิณ” พูดผ่านเวทีการเมืองหลายครั้งหลายครา ครั้งล่าสุดไม่นานมานี้ จากศึกชิงนายก อบจ.เมื่อช่วงเดือน ม.ค. “ทักษิณ”ระบุว่า การทำงานของรัฐบาลขณะนี้ล่าช้า และยาก เพราะมีพรรคร่วมหลายพรรค ถ้าจะให้การขับเคลื่อนได้รวดเร็ว รอบหน้าต้องเลือกพรรคเพื่อไทยเยอะๆ
ถัดมาวันที่ 7 ก.พ. “สทร.ทักษิณ” ยังพูดถึงเป้า สส.ในการเลือกตั้งรอบหน้า คาดหวังว่าพรรคเพื่อไทยจะตีตั๋วผู้แทนเข้าสภาฯให้ได้อย่างน้อย 200 ใบ หมายความว่า เพื่อไทยอาจไม่ได้เป็นรัฐบาลพรรคเดียว แต่เยอะมากก็ไม่ดี ปวดหัว
ไม่ต่างไปจากฝั่ง “ภูมิใจไทย” ก่อนหน้านี้ “อนุทิน” เคยพูดถึงสมการพรรคร่วมรัฐบาล ที่เปิดฉากวัดพลังกันหลายครั้งหลายคราว่า เป็นธรรมดาของรัฐบาลผสม ถ้าหากประชาชนเลือกพรรคเพื่อไทยเยอะ การเมืองก็จะเป็นอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งในสมัยที่"ทักษิณ" เป็นนายกฯ ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน จนถึงพรรคเพื่อไทย ซึ่งขณะนั้นมีคะแนนเสียงเกินกึ่งหนึ่งคือ 251 เสียง การทำอะไรมันก็เร็ว แต่ตอนนี้มันไม่ใช่
“ก็ต้องแข่งขันกันทำงาน หากทำงานให้ดี ก็อาจเกิดเหตุการณ์รัฐบาลพรรคเดียวขึ้นอีกก็ได้ ซึ่งเราไม่มีปัญหาอะไร ก็ว่าไปตามสถานการณ์” อนุทินพูดไว้เมื่อ 31 ม.ค.ที่ผ่านมา
ไม่ต่างจากจังหวะย่างก้าวของ “2 นายใหญ่” ที่เห็นฉากการเปิดเกมต่อรองเป็นระยะทั้งใน “ทางแจ้ง” และ “ทางลับ” เฉพาะที่ปรากฎเป็นข่าวอย่างน้อย 2 ครั้ง 2 ครา
ครั้งแรกเดือน ต.ค.2567 มี “ข่าวปล่อย”แพร่สะพัด หลังเสร็จสิ้นพิธีปะกำช้าง เนื่องในวันคล้ายวันเกิดครบ 66 ปี ที่สนามช้างอารีน่า จ.บุรีรัมย์ เมื่อวันที่ 4 ต.ค.2567 คล้อยหลัง 2 วัน“ครูใหญ่สีน้ำเงิน”มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองกรุง ในช่วงค่ำวันที่ 6 ต.ค.2567 เป้าหมายปลายทางที่ ซอยจรัญสนิทวงศ์ 69 ที่ตั้งบ้านจันทร์ส่องหล้า
เวลานั้นมีการจับตาไปที่การหารือประเด็นทางการเมืองในขั้วรัฐบาล หลายเรื่องยังหาข้อสรุปไม่ได้ จนเกิดภาพสารพัดเกมต่อรองระหว่าง“ฝั่งแดง”และ“ฝั่งน้ำเงิน” กระทั่งเกิดวลี “ผูกให้เป็นนายกฯ” สื่อนัยถึง“เสี่ยหนู อนุทิน” ที่ “ครูใหญ่สีน้ำเงิน” พูดในพิธีปะกำช้าง เนื่องในวันเกิด เสมือนส่งสัญญาณถึงฉากการเมืองในอนาคต
เนื่องจากเวลานั้นมีการจับตาถึงนิติสงครามที่กำลังรุกไล่เพื่อไทย จนอาจนำไปสู่อุบัติเหตุการเมือง รวมไปถึงเก้าอี้เบอร์หนึ่งตึกไทยคู่ฟ้าของ “นายกฯอิ๊งค์” ที่อาจอันสั่นคลอนตามไปด้วย
ก่อนที่ต่อมา จะมีการยอมรับจาก “อนุทิน” ว่ามีการนัดพูดคุยระหว่าง 2 นายใหญ่เกิดขึ้นจริง แต่เป็นเพียงการ “เบิร์ดเดย์บอย” ย้อนหลังให้กับ “นายใหญ่สีน้ำเงิน” เท่านั้น
ต่อมา วันที่ 6 ม.ค.2568 มีข่าวอีกรอบ ถึงการพบกันระหว่าง“2ผู้มากบารมี” ถือเป็นรอบที่ 2 ในระยเวลาห่างกันเพียง 3 เดือน
เวลานั้น “มท.หนู” ยอมรับว่า มีการพบกันระหว่าง 2 นายจริง แต่เป็นเพียงการเดินสายอวยพรผู้หลักผู้ใหญ่ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ไร้วาระการเมือง
ทว่า หลังจากนั้น ก็ยังปรากฎฉากวัดพลัง หลายปมร้อน ระหว่าง “มุมแดง” และ “มุมน้ำเงิน” มีการเอาคืนกันไปมา ไม่เว้นแต่ละวัน
กระทั่ง ล่าสุดคือ กรณีมีผู้ยื่นเรื่องต่อดีเอสไอให้ตรวจสอบ “โพยฮั้ว สว.” จำนวน 140 คน แบ่งเป็น สว.ปัจจุบัน 138 คน และ สว.สำรองอีก 2 คน สะท้อนฉากร้อนการเมือง ท่ามกลางกระแสเปิดเกมล้างไพ่สีน้ำเงิน เพื่อลดอำนาจต่อรองอย่างเห็นได้ชัด
ไม่ต่างจากสัญญาณ การพบกันระหว่าง “2 ผู้มากบารมี” ซึ่งมีข่าวปล่อยต่อเนื่อง ตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 23 ก.พ. ถึง 24 ก.พ.จนกระทั่งมีข่าวว่า ฝั่ง“นายใหญ่สีแดง” ที่ปฏิเสธนัดเคลียร์กับ“ครูใหญ่สีน้ำเงิน”ในเรื่องนี้
สถานการณ์ระหว่าง 2 พรรคขั้วรัฐบาลที่นับวันจะยิ่งร้าวลึกหนักขึ้นเรื่อยๆ ยังต้องลุ้นอีกหลายช็อตหลายตอน ที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้คือศึกซักฟอกที่จะต้องไปลุ้นกันที่ผลโหวตรัฐมนตรีแต่ละคนว่าจะมีแต้มต่างกันมากน้อยเพียงใด ตัวอย่างมีให้เห็นในยุคที่ผ่านมารัฐมนตรีถูกซักฟอกเหมือนกันแต่กลับมีผลคะแนนห่างกัน
ฉะนั้นแม้ล่าสุด “นายกอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะบอกว่า มีความตั้งใจที่จะจับมือร่วมสังฆกรรมกับพรรคภูมิใจไทย ถ้ามีพรรคร่วมรัฐบาลหลายพรรคแบบนี้แล้วไปกันไม่ได้ตนก็ต้องเป็นคนคุย เป็นคนแบกไว้
แต่ต้องจับตาว่า การรุกกลับของเพื่อไทยครั้งนี้ถึงที่สุดจะเป็นเพียงการกดดันเรื่องปรับ ครม.ครั้งหน้า เพื่อริบคืนบางกระทรวงกลับมาผลักดันนโยบาย ใช้ประโยชน์ในทางการเมือง
หรือแท้จริงแล้วจะเป็นการส่งสัญญาณฟื้นตำนาน“มันจบแล้วครับนาย” พร้อมแตกหักระหว่าง “2 พรรคการเมือง” เปิดฉากทวงแค้นเอาคืนภาคสอง ที่กำลังเดือดในเวลานีิ้!







