‘สว.สีน้ำเงิน’รับสัญญาณ‘กลับลำ’ หนุน‘พท.’ ตีความแก้รธน.

หัวหน้าภูมิใจไทย ส่งสัญญาณเลิกขวาง แก้รธน. งานนี้ส่งผล "สว." ต้องกลับลำด้วย ทว่าการพลิกมุมของ "สว.ก๊วนน้ำเงิน" นั้นต้องหาคำอธิบาย เพื่อไม่ให้ถูกกระแสโจมตี
KEY
POINTS
Key Point :
- ดูเหมือนว่า แกนนำ 2 พรรคใหญ่ จะเคลียร์ใจเรื่องแก้รัฐธรรมนูญที่บาดหมางกันได้แล้ว
- เพราะ อนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าภูมิใจไทย เผยท่าทีว่าจะไม่ขวางอีกต่อไป
- พรรคเพื่อไทย เดินหน้าลุยเต็มสูบ ยื่นญัตติขอส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความแก้รัฐธรรมนูญก่อนการประชามติ อีกครั้ง
- งานนี้ มั่นใจ "ภูมิใจไทย" กลับลำสนับสนุน พร้อมพ่วง สว.ก๊วนน้ำเงิน
- ทว่า การกลับลำของ "สว." ตามสัญญาณของ "ครูใหญ่" อาจไม่ง่าย เพราะรอบก่อนหน้า ออกตัวแรง เข้าข้าง "สีส้ม" หักหน้า "สีแดง"
- แต่มีทางออก เพราะอ้างอิงคำอธิบายของฝ่ายวิชาการ ที่เห็นว่า ควรส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ
- ขณะที่ "สว." เองต้องมีบทบาท อภิปรายปูทางว่า ต้องให้องค์กรชี้ขาดเพื่อสร้างความมั่นใจ ไม่ถูกย้อนเกล็ด มาฟ้องร้องภายหลัง
สถานการณ์การเมือง ประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญดูเหมือนขณะนี้จะมีการเคลียร์ใจกันระหว่าง “พรรคเพื่อไทย” กับ “พรรคภูมิใจไทย”
หลังจากที่พรรคเพื่อไทย ยืนยันความพยายามยื่นตีความต่อศาลรัฐธรรมนูญ ในประเด็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งถือเป็นการรื้อรัฐธรรมนูญ 2560 ทิ้ง และยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ที่ “รัฐสภา” สามารถทำหน้าที่ได้ ก่อนการออกเสียงประชามติ ถามประชาชนว่าประสงค์จะให้มี “รัฐธรรมนูญฉบับใหม่” หรือไม่
ล่าสุด “วิสุทธิ์ ไชยณรุณ” สส.บัญชีรายชื่อ ฐานะประธานสส.พรรคเพื่อไทย เป็นผู้ลงชื่อนำยื่นญัตติต่อ “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานรัฐสภาแล้ว เมื่อ 19 ก.พ.
ขณะที่ท่าทีของ “พรรคภูมิใจไทย” ที่ก่อนหน้านั้น ถูกล้อว่าเป็น “จอมขวาง” ได้ลดกำแพงของตัวเองลง โดย “อนุทิน ชาญวีรกูล” หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์ ว่า “ถ้าเป็นขั้นตอนตามกฎหมายที่ถูกต้อง เราสนับสนุนอยู่แล้ว หากบรรจุวาระและเลื่อนการพิจารณาขึ้นมา พรรคภูมิใจไทยพร้อมร่วมโหวต” พร้อมย้ำว่า “ได้คุยกันแล้ว เราไม่ได้เป็นคนขวาง”
ดังนั้นเป็นไปได้ว่า ในวาระที่จะมีการประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ พรรคภูมิใจไทยจะเลือกนั่งร่วมประชุม และ ร่วมลงมติ แทนการ “ไม่สังฆกรรม” เหมือนรอบที่ผ่านมา
หากเป็นเช่นนี้ เท่ากับว่า ขั้นตอนที่จะเป็นไป คือ การสกัดเกมรื้อรัฐธรรมนูญ 2560 ที่ “พรรคประชาชน” ชงให้รัฐสภาพิจารณา เช่นเดียวกันที่ “พรรคเพื่อไทย” เสนอร่างแก้ไขประกบ
ด้วยกระบวนการขอเลื่อนญัตติ ที่พรรคเพื่อไทยเสนอขึ้นมาพิจารณาก่อนการพิจารณาวาระแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 โดยต้องมีการลงมติชี้ขาด ด้วยเสียงข้างมากของที่ประชุม
สำหรับรอบก่อนนั้นพรรคเพื่อไทยใช้ตัวแทน คือ “สว.ก๊วนสีขาว” นำโดย “นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ” ยื่นญัตติ แต่ผลลงมติ คือ แพ้โหวตให้กับ “สมาชิกรัฐสภาฝ่ายสีส้ม” ที่ผสมโรงกับ “สว.สีน้ำเงิน” ด้วยเสียง 247 ต่อ 275 คะแนน
จึงเป็นไปได้ว่า รอบนี้พรรคเพื่อไทยจะแก้มือสำเร็จ โดยได้แรงหนุนมาจากสส.ภูมิใจไทย และ สว.สีน้ำเงิน ที่คาดว่าจะผันไปตามกระแสที่เปลี่ยนทิศ ตามที่ “อนุทิน” ให้สัมภาษณ์ไว้ เมื่อ 18 ก.พ.
ทว่าในประเด็นที่ “สว.ก๊วนสีน้ำเงิน” ทั้ง 136 เสียง จะกลับลำ คงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะการลงมติในรอบที่แล้ว เมื่อ 13 ก.พ. นั้น สว.บางส่วนออกตัวแรง ปากบอกไม่ร่วมประชุม แต่กลับดอดมาโหวตหนุน “ขั้วสีส้ม” ล้มเกมสลับญัตติของ “เพื่อไทย” จนกลายเป็นปมขัดแย้ง ระหว่าง 2 พรรคใหญ่ร่วมรัฐบาล
ประเด็นนี้ มีทางออกเพื่อ “เลี่ยงครหา” ที่จะถูกฉวยไปเล่นงาน “ดิสเครดิต” เพราะสามารถยกคำอธิบายจาก “ฝ่ายวิชาการ” ในเวทีมอร์นิ่งทอล์ก เรื่อง มุมมองสว. ต่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่จัดเมื่อ 10 ก.พ. มาแก้ต่าง
โดยช่วงหนึ่ง “อ.สมคิด เลิศไพฑูรย์” อดีตที่ปรึกษากรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ให้ความเห็นไว้ว่า “การบรรจุร่างแก้ไขเพิ่มเติมในวาระพิจารณาของรัฐสภา หากเสนอแก้ไขบางมาตราจะไม่เกิดปัญหา แต่หากเป็นการเสนอแก้ไขเพิ่มเติมทั้งฉบับจะเกิดปัญหาทันที”
พร้อมบอกกับ สว. ที่มาร่วมเวที วันนั้นว่า “สว.ควรไปร่วมประชุมและร่วมอภิปรายกับ สส. และอาจตั้งคำถามในที่ประชุมว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งฉบับจะขัดรัฐธรรมนูญหรือไม่และขอให้ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยก่อน ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง (2) ซึ่งจะทำให้เกิดความมั่นใจยิ่งขึ้น”
นอกจากนั้นแล้ว ในมุมของสว.เอง ที่แสดงความเห็นและมีรายงานสรุปเป็นภาพรวม เห็นว่า “จากการหารือของ สว. ยืนยันว่าต้องทำประชามติก่อนแก้รัฐธรรมนูญ 2560 ส่วนสภาฯ เห็นว่าไม่จำเป็นต้องทำประชามติก่อน และมีประเด็นต่อมาว่า ถ้าผ่านประชามติแล้ว ต่อมาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ไม่ผ่านวาระแรก ใครจะรับผิดชอบกับค่าใช้จ่าย”
พร้อมกับให้แนวทางว่า “สว.ต้องอภิปรายในที่ประชุมรัฐสภา และยึดโยงไปยังรัฐธรรมนูญ มาตรา 210 วรรคหนึ่ง ที่บัญญัติหน้าที่และอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญต่อการวินิจฉัยปัญหาเกี่ยวกับหน้าที่และอำนาจของรัฐสภา ในกรณีการไม่ทำประชามติครั้งแรกก่อนแก้รัฐธรรมนูญ เพราะหากขัดกับคำวินิจฉัยที่ 4/2564 ต้องส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย”
ดังนั้น เมื่อมีเหตุผลพอที่จะอธิบายได้ เชื่อว่า “สว.136 คน” จะลงมติแบบไม่ตะขิดตะขวงใจ สนับสนุนพรรคเพื่อไทยยื่นญัตติส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความในรอบใหม่
อีกทั้งในประเด็นนี้สว.มองเห็นแล้วว่า อาจเป็นเกราะปกป้องตัวเองไม่ให้ถูก “นิติสงคราม” เล่นงาน ประเด็นร่วมแก้รัฐธรรมนูญกับ “พรรคเพื่อไทย” ที่ขณะนี้มีบางฝ่ายจ้องฟ้องร้องคดี ที่มีบทลงโทษขั้นสุด คือ เพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง.







