เรตติ้ง 67 โจทย์ใหญ่ ‘ส้ม-แดง’ จับตาแก้ทาง สร้างความนิยมผู้นำ-ฟื้นกระแสพรรค

เรตติ้ง 67 โจทย์ใหญ่ ‘ส้ม-แดง’ จับตาแก้ทาง สร้างความนิยมผู้นำ-ฟื้นกระแสพรรค 2 ขั้วเปลี่ยนตัวผู้นำ ส่งผลความนิยมพรรค
KEY
POINTS
- ผลสำรวจความนิยมทางการเมืองไตรมาส 4 ปี 2567 ของ “นิด้าโพล” สะท้อนให้เห็นเรตติ้งของ “ผู้นำพรรค-พรรคการเมือง” ยิ่งทำให้ต้องตระหนักถึงเสียงสะท้อนจากประชาชน เพื่อปิดจุดอ่อน เสริมจุดแข็งให้มากขึ้น
- "ขุนพลสีส้ม" กลับมามีความนิยมนำ "ผู้นำค่ายสีแดง" หลังจากที่ "แพทองธาร ชินวัตร" เรตติ้งแซง "ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ" ผู้นำค่ายส้มคนใหม่ในไตรมาส 3
- ขณะที่ความนิยมของ "พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค" และ "พรรครวมไทยสร้างชาติ" พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนถูกจับตามองเช่นกัน
เทอมการทำงานของรัฐบาลกำลังเดินเข้าสู่ปีที่ 3 บรรดาพรรคการเมืองไม่ชะล่าใจ ต่างขยับวางยุทธศาสตร์เลือกตั้ง ปี 2570 เอาไว้แต่เนิ่นๆ เพื่อเตรียมการเตรียมพร้อม ช่วงชิงความได้เปรียบจากคู่แข่ง-คู่แค้น และเร่งสะสมคะแนนนิยม
ยิ่ง ผลสำรวจความนิยมทางการเมือง ไตรมาส 4 ปี 2567 ของศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สะท้อนให้เห็นเรตติ้งของ “ผู้นำพรรค-พรรคการเมือง” ยิ่งทำให้ต้องตระหนักถึงเสียงสะท้อนจากประชาชน เพื่อปิดจุดอ่อน เสริมจุดแข็งให้มากขึ้น
โดยในรอบปี 2567 “ผลนิด้าโพล” ทำการสำรวจทั้งหมด 4 รอบ แต่ละรอบมีปัจจัยการสำรวจโพลแตกต่างกันออกไป ทั้งตัว “นายกรัฐมนตรี" และ “ผู้นำพรรคการเมือง”
“ผู้นำพรรค-พรรคการเมือง” ลำดับหนึ่งมาจาก “ขุนพลสีส้ม” โดยก่อนการยุบพรรคก้าวไกล ในไตรมาส 1 ชื่อของ “พิธา ลิ้มเจริญรัตน์” ยังได้รับการสนับสนุนให้ดำรงตำแหน่งนายกฯ ร้อยละ 42.75 ไตรมาส 2 ร้อยละ 45.50 ขยับเพิ่มมากกว่าเดิม
หลังจากนั้น “ศาลรัฐธรรมนูญ” มีคำสั่งให้ยุบพรรคก้าวไกล ทำให้ “พิธา” โดนตัดสินทางการเมือง ส่งไม้ต่อให้ “ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” และตั้งพรรคใหม่ชื่อ “พรรคประชาชน”
ทว่า ความนิยมในตัวของ “ณัฐพงษ์” กลับมาสู้ “พิธา” ไม่ได้ โดยเรตติ้งจากนิด้าโพลในไตรมาส 3 ตกลงมาอยู่ที่ร้อยละ 22.90 โดน “แพทองธาร” ขยับแซงขึ้นไป ก่อนจะขยับขึ้นมาในไตรมาส 4 ร้อย 29.85 ขยับแซง “แพทองธาร” คืนกลับมาได้
สำหรับความนิยมของอดีตพรรคก้าวไกล ไตรมาส 1 ร้อยละ 48.45 ไตรมาส 2 ร้อยละ 49.20 ก่อนเปลี่ยนมาเป็น “พรรคประชาชน” ผลสำรวจไตรมาส 3 ร้อยละ 34.25 และไตรมาส 4 ร้อยละ 37.30
จับตาแก้เกม ‘เท้ง’ กระแสตก
โจทย์ใหญ่ของ “พรรคประชาชน” คือการกระตุ้นเรตติ้ง “ณัฐพงษ์” ให้พุ่งขึ้นเทียบเท่าหรือใกล้เคียงกับที่ “พิธา” เคยทำได้ ไม่เช่นนั้นโอกาสการชนะเลือกตั้งในปี 2570 จะลดน้อยลง เนื่องจาก “คู่แข่ง-คู่แค้น” ต่างเตรียมยุทธวิธีรับมือกระแสสีส้มเอาไว้แล้ว
โดยเฉพาะ “การเมือง บ้านใหญ่” ระดับท้องถิ่นที่ยังเป็นจุดอ่อนของ “ขุนพลสีส้ม” ต้องยอมรับว่ากระแสสีส้ม มาจากตัวผู้นำ ไล่ตั้งแต่การเลือกตั้งปี 2562 ผู้นำคือ "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" และปี 2566 คือตัวของ “พิธา”
เมื่อ “ขุนพลสีส้ม” เติบโตมาจากกระแส แต่การเข้ามาของ “ณัฐพงษ์” ฉุดกระแสให้ต่ำลง จึงต้องจับตาว่า “พรรคประชาชน” จะมียุทธศาสตร์อย่างไร ในการกอบกู้ความนิยมให้กลับมาดีเหมือนเดิม
โจทย์ยากค่ายแดง-นายกฯอิ๊งค์
อันดับสอง “พรรคเพื่อไทย” โดยไตรมาส 1 ยังมีเป็น “เศรษฐา ทวีสิน” นั่งเก้าอี้นายกฯ โดยเจ้าตัวได้รับความนิยมร้อยละ ร้อยละ 17.75 ส่วน “แพทองธาร” ร้อยละ ร้อยละ 6.00 ไตรมาส 2 “เศรษฐา” ร้อยละ 12.85 “แพทองธาร” ร้อยละ 4.85
ไตรมาส 3 มีการเปลี่ยนตัวผู้ดำรงตำแหน่งนายกฯ เนื่องจาก “ศาลรัฐธรรมนูญ” วินิจฉัยให้ “เศรษฐา” ขาดคุณสมบัติความเป็นรัฐมนตรี ทำให้ “แพทองธาร” ดำรงตำแหน่งนายกฯแทน โดยรับความนิยมพุ่งขึ้นเป็นอันดับหนึ่งทันที อยู่ที่ร้อยละ 31.35 คาดการณ์ว่านโยบายแจกเงินหมื่นดิจิทัลวอลเล็ต มีผลในการกระชากเรตติ้งให้สูงขึ้น จนแซง “ณัฐพงษ์”
ทว่า ในไตรมาส 4 ความนิยมของ “แพทองธาร” ลดลงมาเหลือร้อยละ 28.80% ส่วนหนึ่งมาจากคะแนนนิยมของ “ณัฐพงษ์” พุ่งสวนขึ้นมา แต่เหตุผลสำคัญอาจจะมาจากการทำงานในตำแหน่งนายกฯ ที่อาจจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
สำหรับความนิยมของพรรคเพื่อไทย ไตรมาส 1 ร้อยละ 22.10 ไตรมาส 2 ตกลงไปร้อยละ 16.85 ไตรมาส 3 เพิ่มขึ้นมาร้อยละ 27.15 และไตรมาส 4 ร้อยละ 27.70
โจทย์ใหญ่ของ “ทักษิณ-แพทองธาร-เพื่อไทย” คือการฟื้นความนิยมคืนกลับมา เพราะการเลือกตั้งปี 2566 และการพลิกขั้วจัดตั้งรัฐบาลกับ “3 ลุง” ทำให้ความเชื่อมั่นของ “ค่ายสีแดง” ตกฮวบลงไป
พีระพันธุ์-รทสช.เรตติ้งพุ่ง
อีกคนที่น่าจับตามองอย่างยิ่งคือ “เดอะตุ๋ย” พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯ รมว.พลังงาน หัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ ความนิยมไต่ขึ้นเป็นลำดับ การสำรวจไตรมาส 1 ความนิยมร้อยละ 3.55 ไตรมาส 2 ร้อยละ 6.85 ไตรมาส 3 ร้อยละ 8.65 และไตรมาส 4 ร้อยละ 10.25
เช่นเดียวกับพรรครวมไทยสร้างชาติ ความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไตรมาส 1 ร้อยละ 5.10 ไตรมาส 2 ร้อยละ 7.55 ไตรมาส 3 ร้อยละ 9.95 และไตรมาส 4 ร้อยละ 10.60
โดยเรตติ้งของ รทสช. อยู่ในจุดสูงสุดในช่วงที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังเป็นแคนดิเดตนายกฯ มีเรตติ้งระดับร้อยละ 15 แต่หลังการเลือกตั้งปี 2566 กลับลดฮวบลงมาอย่างต่อเนื่อง ก่อนจะมากระเตื้องในปี 2567
จะเห็นได้ว่าความนิยมของ “พีระพันธุ์-รทสช.” เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และอยู่ในระดับเดียวกัน มีการวิเคราะห์ว่าในไตรมาส 4 เรตติ้งพุ่งสูงหลังประกาศสงครามกับ “ทุนผูกขาด”
อนุทิน-ภูมิใจไทย เรตติ้งเพิ่ม
อีกพรรคที่แม้จะไม่เน้นการเมือง “กระแส” แต่พอมีความนิยมมาช่วยเป็นตัวกระตุ้นคือ “พรรคภูมิใจไทย” โดยตัวของ “เสี่ยหนู” อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ความนิยมไต่ขึ้นเป็นลำดับเช่นเดียวกัน โดยการสำรวจไตรมาส 1 ร้อยละ 1.45% ไตรมาส 2 ร้อยละ 2.05 ไตรมาส 3 ร้อยละ 4 และไตรมาส 4 ร้อยละ 6.45
พรรคภูมิใจไทย ความนิยมไตรมาส 1 ร้อยละ 1.70 ไตรมาส 2 ร้อยละ 2.20 ไตรมาส 3 ร้อยละ 3.55 และไตรมาส 4 ร้อยละ 5.15 โดยเรตติ้งของ “ภูมิใจไทย” เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากไตรมาส 1-3 ตามหลังพรรคไทยสร้างไทย และพรรคประชาธิปัตย์ แต่มาแซงในไตรมาส 4
แม้สไตล์การเมืองของ “อนุทิน-ภูมิใจไทย” จะไม่เน้นกระแส มี “บ้านใหญ่” เป็นอาวุธสำคัญ แต่หากพอมีกระแส อาจจะทำให้ “บ้านใหญ่” ขับเคลื่อนการเมืองได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
“ไม่เลือกใคร” ตัวแปรการเมือง
อีกตัวชี้วัดที่จะเป็นปัจจัยตัวแปรชี้ขาดทางการเมือง คือผลสำรวจยังหาคนที่เหมาะสมมาดำรงตำแหน่งนายกฯไม่ได้ ไตรมาส 1 ร้อยละ 20.05 ไตรมาส 2 ร้อยละ 20.55 ไตรมาส 3 ร้อยละ 23.50 และไตรมาส 4 ร้อยละ 14.40
เช่นเดียวกับผลสำรวจพรรคการเมืองที่ประชาชนจะสนับสนุน โดยผลสำรวจที่ระบุว่ายังหาพรรคการเมืองที่จะสนับสนุนไม่ได้มีอยู่มากพอสำรวจ ไตรมาส 1 ร้อยละ 12.75 ไตรมาส 2 ร้อยละ 15.00 ไตรมาส 3 ร้อยละ 15.10 และไตรมาส 4 ร้อยละ 8.20
คาดการณ์ว่าตัวกลุ่มยังไม่ตัดสินใจ จะรอให้ถึงเวลาถึงวันเลือกตั้งจึงจะตัดสินใจ ดังนั้นในกลุ่มดังกล่าวอาจจะเป็นตัวชี้วัด-ชี้ขาด ผลการเลือกตั้งได้ในระดับหนึ่ง บรรดาพรรคการเมืองจึงต้องแย่งให้ “กลุ่มไม่ตัดสินใจ” มาเลือกคน-เลือกพรรคให้ได้มากที่สุด
ทั้งหมดคือความนิยมทางการเมืองของ “ผู้นำพรรค” และ “พรรคการเมือง” ที่สำรวจโดย “นิด้าโพล” ในรอบปี 2567 ซึ่งแน่นอนว่า “พรรคการเมือง” จะใช้เป็นข้อมูลในการแก้โจทย์ทางการเมือง เพื่อต่อยอดการเลือกตั้งปี 2570







