เปิดข้อมูล อุทธรณ์ซื้อเรือฟริเกต 1.7 พันล้าน 'ผบ.ทร'ขอเห็นใจ ยอมกินมาม่า

เปิดข้อมูล อุทธรณ์ซื้อเรือฟริเกต 1.7 พันล้าน  'ผบ.ทร'ขอเห็นใจ ยอมกินมาม่า

งัดข้อมูลอุทธรณ์งบฯซื้อฟริเกต 1.7 พันล้านปี 2567 ในชั้นกมธ. “บิ๊กดุง” วอน ทร.ขอใช้ของดี -ยินดีกินมาม่าแทน เผยผูกผันงบฯ5ปี วงเงิน1.7หมื่นล.บาท ใช้โมเดลร่วมทุนกับบริษัทชั้นนำ พบ 6 ประเทศชิงดำ

4 มี.ค.2567 พล.ร.อ.อะดุง พันธ์เอี่ยม ผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) ได้ทำหนังสือถึงประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2567 เรื่อง ขออุทธรณ์ผลการพิจารณาของ คณะอนุกรรมาธิการด้านมั่นคงฯ ที่มีมติให้ปรับลดงบประมาณ ในโครงการจัดหาเรือฟริเกต จำนวน 1 ลำ ที่เสนอขอรับงบประมาณปีงบประมาณ พ.ศ.2567 จำนวน  1.7 พันล้านบาท  โดยระบุว่า ทร.ทราบถึงสถานการณ์ด้านงบประมาณที่จำกัดของประเทศ ที่จำเป็นต้องมีการจัดสรรงบประมาณเพื่อใช้ตามความจำเป็นในต้านต่างๆ แต่ด้วยภารกิจและหน้าที่ของทร.ที่ต้องเตรียมกำลังกองทัพเรือในการรักษาอธิปไตย ป้องกันราชอาณาจักร รักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และช่วยเหลือประชาชน ซึ่งปัจจุบันกองทัพเรือมีกำลังทางเรือและขีดความสามารถที่จำกัด อันเป็นเหตุให้ ความมั่นคง อธิปไตยของชาติและผลประโยชน์ที่ประชาชนพึงจะได้รับจากการทำหน้าที่ของกองทัพเรือต้องได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ นอกจากนั้น ยังส่งข้อมูลให้ทางสำนักงบประมาณกระทรวงกลาโหม เข้าชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการฯชุดใหญ่ในวันที่ 5 มี.ค.นี้ด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทร.ได้รับอนุมัติโครงการในการจัดหาเรือฟริเกตสมรรถนะสูงจำนวน 2 ลำในรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี  และจัดหาแล้ว 1 ลำคือ เรือหลวงภูมิพล จากประเทศเกาหลีใต้ แต่เนื่องจากขาดแคลนงบประมาณ และ ถูกตัดงบฯ ช่วงโควิด-19 ประกอบกับยังติดปัญหาคาราคาซังในโครงการจัดเรือดำน้ำจากจีน ทำให้ทร. ชะลอการจัดหาลำที่2ไป แต่หลังสถานการณ์โควิด-19 ในยุคที่ พล.ร.อ.เชิงชาย ชมเชิงแพทย์ ดำรงตำแหน่ง ผบ.ทร.ได้เดินหน้าในการจัดหาโครงการฟริเกตลำที่ 2 วงเงิน 1.7หมื่นล้านบาท ผูกพันงบฯ 5 ปี เริ่มงบฯตั้งต้นในปี 2567 วงเงิน 1.7 พันล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 10 ของทั้งโครงการ และได้ผ่านความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีชุดนี้แล้ว

 

ผบ.ทร.ได้ไปชี้แจงเหตุผลความจำเป็นในขั้นคณะกรรมาธิการฯ ตั้งแต่ต้น เกี่ยวกับนโยบายการเสริมสร้างขีดความสามารถของ ทร. เนื่องจากเรือฟริเกตที่ประจำการอยู่เหลือแค่4ลำใกล้ปลดประจำการ ได้แก่

  1. เรือหลวงตากสิน  (ประจำการครบ 40 ปีใน ปี 78)
  2. เรือหลวงนเรศวร (ประจำการครบ40ปี ในปี 77) 
  3. เรือหลวงรัตนโกสินทร์ (ปลดประจำการ 69 ) 
  4. เรือหลวงภูมิพล ที่เข้าประการได้กว่า 5 ปี

ถ้าไม่จัดหาในปีนี้อาจไม่ทันเรือฟริเกตที่กำลังจะปลดประจำการในอนาคต โดยเน้นย้ำนโยบายการต่อเรือในประเทศโดยมีบริษัทชั้นนำจากต่างประเทศเข้ามาร่วมทุนและถ่ายทอดเทคโนโลยี 

“ในปีนี้เราขอความกรุณาให้กองทัพเรือ ได้ใช้ของดีๆ เรายินดีที่จะกินมาม่า”

ผบ.ทร.กล่าวในคณะกรรมาธิการฯ 
มีรายงานด้วยว่า  ในการต่อเรือในประเทศครั้งนี้ ทร.ได้เปิดโอกาสให้บริษัทต่างชาติที่เข้ามาร่วมทุนเข้ามาประมูล เช่น บริษัท Damen ของฮอลแลนด์  บริษัท Thyssenkrupp Marine System ของเยอรมัน นอกจากนั้นยังมีบริษัทจากเกาหลีใต้ ตรุกี อิตาลี สเปน โดยจะมีอู่ต่อเรือเอกชนในประเทศไทยเป็นพาร์ทเนอร์ในการร่วมดำเนินการเช่นมาร์ซัน ล็อกซ์เล่ย์  แต่ในเบื้องต้นบริษัทชั้นนำเหล่านั้นจะลงทุนในการปรับปรุงพัฒนาอู่เรือของไทยให้มีศักยภาพรองรับการต่อเรือสมรรถนสูง รวมถึการสร้างโมดูลเรือเป็นส่วนๆ เพื่อนำมาประกอบใน 3 โมดูลแรก และให้อู่ต่อเรือไทยต่อจนครบ 6 โมดูล โดยมีเป้าหมายให้อู่ต่อเรือของไทยเพื่อรองรับการร่วมทุนต่อเรือเองในอนาคต  สำหรับเรือที่จะต่อขึ้นนั้นเป็นไปตามมาตรฐานของเรือชั้นที่ผลิตในประเทศดังกล่าว โดยมีเทคโนโยลีซ่อนพลาง และมีระบบอำนวยการรบที่มีประสิทธิสูงกว่าเรือภูมิพล รวม ระบบป้องกันภัยทางอากาศแบบ 3 มิติที่ทันสมัย

อย่างไรก็ตาม  เมื่อคณะอนุคณะกรรมาธิการความมั่นคงฯ แขวนงบฯดังกล่าวไว้  ทาง ทร.ก็ต้องชี้แจง เพื่อขอรับการสนับสนุนจากรัฐบาล และ ฝ่ายค้าน ซึ่งที่ผ่านมา กมธ.ฝ่ายค้าน  ก็ไม่เห็นด้วยกับการตัดงบฯ ส่วนนี้ไปแขวนอยู่ในงบกลาง เพราะจะไม่รู้รายละเอียดต่างๆ ในการใช้ และส่วนหนึ่งอาจถูกนำไปใช้ในโครงการใหญ่ของรัฐบาล