ป.ป.ช.เตือนสติเลือกตั้ง 66 กางงบ 5 พรรคใหญ่ ระวังทุจริตเชิงนโยบาย

ป.ป.ช.เตือนสติเลือกตั้ง 66 กางงบ 5 พรรคใหญ่ ระวังทุจริตเชิงนโยบาย

ป.ป.ช.ขยับ! ออกบทความ “สูญเสียไปเท่าไหร่แล้วกับคำว่า คอร์รัปชันเชิงนโยบาย” เตือนสติประชาชนใช้สิทธิเลือกตั้ง 66 จับตา 5 พรรคใหญ่ “เพื่อไทย” ใช้วงเงินงบประมาณมากสุด 3 ล้านล้าน “ก้าวไกล-พปชร.” พอกันพรรคละ 1 ล้านล้าน กังวลนโยบายอ้างแค่ตัวเลข ขาดรายละเอียดชัดเจน

เมื่อวันที่ 3 พ.ค. 2566 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) โดยกองบรรณาธิการสื่อสารเพื่อยกระดับค่าดัชนีการรับรู้การทุจริต สำนักสื่อสารองค์กร สำนักงาน ป.ป.ช. เผยแพร่บทความเกี่ยวเนื่องกับการเลือกตั้ง 2566 ชื่อว่า “สูญเสียไปเท่าไหร่แล้วกับคำว่า คอร์รัปชันเชิงนโยบาย” มีเนื้อหา ดังนี้
    
ใกล้ฤดูเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 27 ท่ามกลางป้ายหาเสียง การดีเบตกันระหว่างผู้สมัคร ตัวแทนพรรคการเมืองต่าง ๆ ซึ่งส่วนใหญ่มักนิยม โชว์วิสัยทัศน์ และประกาศนโยบายของพรรค โดยแต่ละพรรคมีนโยบายด้านต่าง ๆ จำนวนมาก เช่น นโยบายด้านเศรษฐกิจ นโยบายด้านสวัสดิการและสังคม นโยบายด้านการศึกษา นโยบายด้านแรงงาน ฯลฯ

แต่นโยบายไฮไลท์ที่พรรคการเมืองแข่งขันกันหาเสียงอย่างดุเดือด เพียงเพื่อหวังจะได้รับเลือกเข้ามาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร์จำนวนมากที่สุด เท่าที่จะทำได้ โดยเฉพาะการประกาศนโยบายประชานิยม ของพรรคการเมือ ที่ต่างสัญญาว่าจะให้ แบบให้เปล่าไม่มีเงื่อนไข โดยใช้งบประมาณภาครัฐที่สูงมาก และการใช้เงินนอกงบประมาณ โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อวินัยทางการเงินการคลังของประเทศและงบลงทุนที่จะใช้เพื่อการพัฒนาประเทศ

พรรคเพื่อไทย นำเสนอนโยบายทั้งสิ้น 70 นโยบาย ใช้วงเงินรวมกว่า 3 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น นโยบายระดับแสนล้าน จำนวน 3 นโยบายวงเงินรวม 1,360,000 ล้านบาท นโยบายระดับหมื่นล้าน จำนวน 11 นโยบาย วงเงินรวม 416,700 ล้านบาทในปีแรก นโยบายระดับพันล้าน มี 7 นโยบาย วงเงินรวม 36,800 ล้านบาท ไม่นับรวมนโยบายอื่น ๆ อีก 

โดยนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านกระเป๋าเงินดิจิทัล ที่มีการแจกเงินดิจิทัล คนละ 10,000 บาท เป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในระยะสั้น แต่ในช่วง 6 เดือน ให้กับคนไทยทุกคนที่มีอายุตั้งแต่ 16 ปีขึ้นไป นโยบายเดียวมีการประมาณการกันว่าต้องใช้เงินประมาณ 560,000 ล้านบาท ระบุที่มาของเงินจากการบริหารงบประมาณปกติ และบริหารระบบภาษี มาจาก 4 ส่วน ดังรายละเอียดคือ 1. มาจากประมาณการรายได้รัฐที่เพิ่มขึ้นในปี 2567 จำนวน 260,000 ล้านบาท 2. ภาษีที่ได้จากผลคูณต่อเศรษฐกิจจากนโยบาย จำนวน 100,000 ล้านบาท 3. การบริหารจัดการงบประมาณ จำนวน110,000 ล้านบาท 4.การบริหารจัดการงบประมาณด้านสวัสดิการ   ที่ซ้ำซ้อน จำนวน 90,000 ล้านบาท

พรรคก้าวไกล เสนอนโยบายจำนวน 52 นโยบาย วงเงินทั้งสิ้น 1,288,610 ล้านบาท ในส่วนของนโยบายรัฐสวัสดิการถ้วนหน้าตั้งแต่แรกเกิด จนตาย จำนวน 5 นโยบาย ใช้เงินไป 749,100 ล้านบาท ได้แก่ นโยบายสวัสดิการเกิด ใช้งบประมาณ 50,000 ล้านบาท สวัสดิการเติบโตใช้ งบประมาณ 44,600 ล้านบาท สวัสดิการทำงาน ใช้งบประมาณ 56,000 ล้านบาท  สวัสดิการผู้สูงวัย ใช้งบประมาณ 500,000 ล้านบาท และสวัสดิการทุกช่วงวัย 98,500 ล้านบาท  คูปองรับขวัญ 3,000 บาท สำหรับแม่ของเด็กแรกเกิด เงินเลี้ยงดูเด็กเล็กตั้งแต่แรกเกิดถึง 6 ปี 1,200 บาทต่อเดือน เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุเป็น 3,000 บาทถ้วนหน้า โดยไม่มีเงื่อนไข ต้องใช้งบประมาณมาดำเนินการ วงเงินประมาณ 650,000 ล้านบาท 
    
พรรคพลังประชารัฐ มีนโยบายทั้งสิ้น 14 นโยบายหลัก ใช้งบประมาณร่วมเกือบ 1 ล้านล้านบาท เช่น นโยบายบัตรประชารัฐ 700 บาท ใช้วงเงิน 128,000 ล้านบาท สวัสดิการผู้สูงอายุ ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป รับไปเลย 3,000 บาท  70 ปี รับ 4,000 บาท และ 80 ปีขึ้นไป รับ 5,000 บาท ใช้วงเงิน 495,000 ล้านบาท หรือนโยบาย   แม่ บุตร ธิดา ประชารัฐ ใช้วงเงิน 174,000 ล้านบาท

พรรคประชาธิปัตย์ เสนอนโยบายจำนวน 11 นโยบาย วงเงินทั้งสิ้น 685,400 ล้านบาท อาทิ อินเทอร์เน็ตฟรี 1 ล้านจุด ทุกหมู่บ้านทุกห้องเรียน ใช้วงเงิน 3,600 ล้านบาท ชมรมผู้สูงอายุรับ 30,000 บาท ทุกหมู่บ้าน ทุกชุมชน 3,400 ล้านบาท  ตั้งกองทุน 3 แสนล้านบาท เพื่อให้ SME สามารถเข้าถึงแหล่งเงิน แหล่งทุนเพื่อนำมาขยายกิจการ  ชาวนารับ 30,000 บาทต่อครัวเรือน ใช้วงเงิน 97,000  ล้านบาท

พรรครวมไทยสร้างชาติ นำเสนอ 11 นโยบาย วงเงินทั้งสิ้น 250,000 ล้านบาท เช่น นโยบาย เพิ่มสิทธิ ‘บัตรสวัสดิการพลัส’ เป็น 1000 บาทต่อเดือน ใช้วงเงิน 71,000 ล้านบาท นโยบายเบี้ยยังชีพผู้สูงอายุ ใช้วงเงิน 40,000 ล้านบาท คนละครึ่งภาค 2 ใช้วงเงิน 40,000 ล้านบาท นโยบายตั้ง ‘กองทุนฉุกเฉินประชาชน’ วงเงิน 3 หมื่นล้านบาท

ป.ป.ช.เตือนสติเลือกตั้ง 66 กางงบ 5 พรรคใหญ่ ระวังทุจริตเชิงนโยบาย

ในส่วนของ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ พรรคการเมือง 70 พรรค ส่งรายละเอียดนโยบายหาเสียงตามมาตรา 57 พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ปี 2560 ต่อ กกต. เพื่อ กกต. จะนำนโยบายดังกล่าวมาพิจารณาในรายละเอียด 3 ประเด็นสำคัญ คือ 1. วงเงินและที่มาของเงินที่    จะใช้ดำเนินการ 2. ความคุ้มค่าและประโยชน์ และ 3.ระบุผลกระทบและความเสี่ยง หากพบว่านโยบายเข้าข่ายความผิดตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร พ.ศ. 2561มาตรา 73 (5) หลอกลวงให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยมของผู้สมัครหรือพรรคการเมือง เป็นเหตุให้นำไปสู่การพิจารณายุบพรรคได้ 

นโยบายของพรรคการเมืองที่ยื่นต่อ กกต. ในมุมมองของผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งค่อนข้างมีความน่ากังวลอยู่ไม่น้อย เพราะหลายพรรคขาดรายละเอียดของนโยบายที่ชัดเจน มีเพียงเป้าหมายและวงเงินที่ต้องใช้จ่ายเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามบางพรรคมีเนื้อหาของนโยบายที่ชัดเจน อาจสื่อให้เห็นได้ว่ามีการออกแบบนโยบายมาเรียบร้อยแล้วก่อนที่จะนำเสนอเพื่อหาเสียงกับประชาชน นอกจากนี้ นโยบายที่ใช้หาเสียงของหลายพรรคยังใช้วิธีทำให้ตัวเลขงบที่ต้องใช้ลดลง ด้วยการอ้างว่า ไม่ใช้งบประมาณ หรือใช้งบประมาณปกติในการดำเนินการ

ส่วนประชาชน ในฐานะผู้มีสิทธิ์ในการเลือกตั้ง จำเป็นต้องพิจารณานโยบายของทุกพรรคการเมืองให้ดี เนื่องจากหลายครั้งที่นโยบายของพรรคการเมืองที่นำเสนอต่อประชาชน นำมาซึ่งเป็นการทุจริตเชิงนโยบายหรือคอร์รัปชันเชิงนโยบาย (Policy Corruption) เพียงประชาชนตรวจสอบด้วยคำถามว่า นโยบายที่แต่ละพรรคนำเสนอมานั้นทำได้จริงหรือไม่ ใช้เงินงบประมาณจากไหน งบประมาณแผ่นดินที่มีอยู่เพียงพอสำหรับ นโยบายที่ประกาศกันออกมาหรือเปล่า หรือนโยบายที่นำเสนอหวังเอาชนะเท่านั้น นอกจากนี้ก็จะทำให้เกิดสภาพปัญหาสำหรับรัฐบาลใหม่หลังการเลือกตั้ง เพราะหากนำนโยบายที่ได้ใช้หาเสียงไปมาจัดทำเป็นนโยบายของรัฐบาล เพื่อปฏิบัติแล้วจะสร้างภาระทางการคลังและสร้างผลเสียในระยะยาว จึงจำเป็นจะต้องเผยแพร่ให้ความรู้ ข้อเท็จจริงแก่ประชาชนทุกระดับ โดยเฉพาะระดับฐานราก ให้รู้ทันถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

พรรคการเมืองที่นำเสนอนโยบาย ต้องมีความเป็นไปได้จริงทั้งในทางการคลังและทางกฎหมายเพียงใด เนื่องจากงบประมาณต่าง ๆ ในปี 2567 มีการดำเนินการไปแล้ว ตามกฎหมายระเบียบงบประมาณที่ต้องทำล่วงหน้า ซึ่งมีงบประมาณให้รัฐบาลใช้ได้เพียง 2 แสนล้านเท่านั้น แต่นโยบายที่แต่ละพรรคนำเสนอนั้น ใช้เม็ดเงินมากกว่างบประมาณมาก ดังนั้นต้องแสดงถึงแหล่งที่มาของเงินที่จะนำมาใช้ด้วย ตลอดจนต้องมีมาตรการลงโทษพรรคการเมืองที่มีนโยบายหลอกลวงประชาชน ด้วยการประชาสัมพันธ์นโยบายที่ไม่สามารถทำได้จริงในทางปฏิบัติ

ในขณะที่เสียงประชาชน ผ่านผลสํารวจความคิดเห็นของประชาชนต่อนโยบายต่อต้านคอร์รัปชันของพรรคการเมืองและนักการเมืองไทยในการเลือกตั้งปี 2566 โดยองค์กรต่อต้านคอร์รัปชัน (ประเทศไทย) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และมูลนิธิเพื่อคนไทย ได้สำรวจความคิดเห็นประชาชนจำนวน 2,255 คนทั่วประเทศ ใน 20 ประเด็น คนไทยส่วนใหญ่ต้องการให้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามาแก้ไขเป็นอันดับแรกคือ การทุจริตคอร์รัปชัน และต้องการเห็นพรรคการเมืองกําหนดนโยบายต่อต้านคอร์รัปชันเป็นนโยบายหลัก รวมถึงมีแนวทางชัดเจนที่จะแก้ไขปัญหา นี่คือความต้องการของประชาชนในการเลือกตั้งคราวนี้ 

  • ร้อยละ 95 นโยบายต่อต้านคอร์รัปชันมีผลต่อการตัดสินใจลงคะแนนเลือกตั้ง 
  • ร้อยละ 91.1 อยากให้ภาคการเมืองมีบทบาทต้านโกง
  • ร้อยละ 86.2 จะไม่เลือกพรรคการเมืองที่ไม่มีนโยบายต่อต้านการทุจริต

ทั้งนี้ ประชาชน ต่างก็เห็นว่าที่ผ่านมาเกือบทุกพรรคการเมืองที่เข้ามาเป็นรัฐบาล ก็หาผลประโยชน์จากงบประมาณแผ่นดินไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เพื่อเป็นทุนในการเลือกตั้งครั้งต่อไป

จนถึงขณะนี้ เริ่มนับถอยหลังก้าวสู่การเลือกตั้ง คนที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง ควรพิจารณานโยบายของพรรคการเมืองต่าง ๆ เพื่อใช้เป็นข้อมูล วิเคราะห์ประกอบการตัดสินใจ ว่า กระบวนการจัดทำนโยบาย สะท้อนสิ่งที่ดำเนินการจริงหรือไม่ นโยบายนั้นมีการพัฒนาโดยคิดถึงผลกระทบในด้านต่าง ๆ มีความคุ้มค่าหรือไม่ มีความเสี่ยงที่อาจจะเกิดการทุจริตในอนาคตหรือไม่ แล้ว...จึงตัดสินใจใช้สิทธิ์