นายกฯชมเตรียมจัด "สถาปนิก66" กระตุ้นตลาดสิ่งก่อสร้าง ดันมูลค่า 2.2 หมื่นล.

เมื่อวันที่ 6 เมษายน 2566 นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้รับทราบความคืบหน้าของ การเตรียมการงาน “สถาปนิก 66” ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 25-30 เมษายน 2566 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ อิมแพค เมืองทองธานี ซึ่งในงานนี้ ถือเป็นงานที่จัดแสดง สถาปัตยกรรม เทคโนโลยีการก่อสร้าง และ วัสดุ ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีกล่าวว่า ผู้จัดงานคาดหมายว่าตลอดระยะเวลาการจัดงานจะมีผู้เข้าชมไม่ต่ำกว่า 300,000 คน กระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มวัสดุก่อสร้างในปี 2566 ซึ่งคาดว่าจะเกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนกว่า 22,000 ล้านบาท ทั้งนี้ โฆษกรัฐบาลกล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วงปี 2566 – 2567 ตลาดวัสดุก่อสร้างคาดว่าจะเติบโตอีกราว 4.6-6.5% จากการลงทุนโครงการขนาดใหญ่ (Mega Project) ของภาครัฐ อาทิ โครงการคมนาคม การก่อสร้างมอเตอร์เวย์ ท่าเรือแหลมฉบัง สนามบินฯ รวมถึงการลงทุนเชิงพาณิชย์ของภาคเอกชน

“นายกชื่นชมการเตรียมจัดงาน “สถาปนิก 66” คาดหวังว่านอกจากการกระตุ้นยอดการซื้อขายในกลุ่มวัสดุก่อสร้างที่จะสร้างเม็ดเงินแล้ว การจัดงานในครั้งนี้ จะทำให้ตลาดที่เกี่ยวกับ ผลิตภัณฑ์ และ เทคโนโลยีการก่อสร้าง กลับมาขยายตัว เชื่อมั่นว่าการจัดครั้งนี้จะเป็นการโชว์ศักยภาพ นวัตกรรม ของผู้ประกอบการชาวไทย ซึ่งถือเป็นโอกาสอันดี ในการขยายตลาดสู่ผู้เข้าชมที่มาจากต่างประเทศด้วย” นายอนุชาฯกล่าว

อนึ่ง “งานสถาปนิก 66” เป็นงานที่ได้รับการยอมรับในระดับสากล สำหรับการจัดแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรมด้านการก่อสร้าง จัดขึ้นเพื่อนำเสนอผลงานความก้าวหน้าทางสถาปัตยกรรม เพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงบทบาทวิชาชีพสถาปนิกที่มีต่อสังคม ผ่านนิทรรศการและกิจกรรมมากมาย โดยในปีนี้ ได้จัดงานในภายใต้แนวคิด “ตำถาด :Time of Togetherness” เป็นการจัดแสดงที่ผสมผสานระหว่าง Virtual Exhibition ควบคู่กับ Physical Exhibition โดยภายในงานจะรวบรวม ผลงาน นิทรรศการ นวัตกรรม และ ผลิตภัณฑ์ จากบริษัทต่าง ๆ ทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศ มากกว่า 700 บริษัท นอกจากนี้ ยังมีผู้ร่วมจัดแสดงนิทรรศการ จากต่างประเทศ เข้าร่วม ประกอบไปด้วย ผู้ร่วมจัดแสดงนิทรรศการจากประเทศ ฝรั่งเศส อิตาลี สิงคโปร์ อินเดีย ศรีลังกา จีน ญี่ปุ่น และฟินแลนด์