เปิดตัว 7 ขุนพลเศรษฐกิจ “ก้าวไกล” ตั้ง 3 เป้าแก้รากฐาน-กติกา-พาไทยบุกตลาดโลก

เปิดตัว 7 ขุนพลเศรษฐกิจ “ก้าวไกล” ตั้ง 3 เป้าแก้รากฐาน-กติกา-พาไทยบุกตลาดโลก

ยลโฉมอย่างเป็นทางการ! “ก้าวไกล” เปิดตัว 7 คน “ทีมเศรษฐกิจ” ประจำพรรค โชว์วิสัยทัศน์ก้าวหน้า เปิดยุทธศาสตร์ปักธงสร้างเศรษฐกิจเติบโตอย่างเป็นธรรม ตั้ง 3 เป้าหมาย รากฐานชีวิตคนไทยมั่นคง - กติกาแข่งขันเป็นธรรม – พาธุรกิจไทยบุกตลาดโลก

เมื่อวันที่ 22 มี.ค. 2566 พรรคก้าวไกลเปิดตัวแกนนำหลักทีมเศรษฐกิจ 7 คน ซึ่งมีส่วนผสมที่หลากหลายอย่างลงตัว ทั้งในแง่อาชีพ มีทั้ง ส.ส. นักวิชาการ ข้าราชการ นักธุรกิจ ในแง่ช่วงวัย มีทั้งคนรุ่นใหม่ รุ่นกลาง รุ่นเก๋า และในแง่มิตินโยบายเศรษฐกิจ ที่ครอบคลุมทั้งเศรษฐกิจภาคเมือง เศรษฐกิจภาคชนบท เศรษฐกิจดิจิทัล อุตสาหกรรมสร้างสรรค์ และอุตสาหกรรมไฮเทค

โดยทั้ง 7 คน ประกอบด้วย (1) วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร (2) สิทธิพล วิบูลย์ธนากุล (3) วรภพ วิริยะโรจน์ (4) อภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล (5) ชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร (6) เดชรัต สุขกำเนิด และ (7) ศิริกัญญา ตันสกุล เปิดยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจของพรรคก้าวไกล คือการเติบโตอย่างเป็นธรรม (Inclusive Growth) ด้วยการทำให้เศรษฐกิจเติบโต แต่ขณะเดียวกันดอกผลของการพัฒนาต้องถูกกระจายอย่างเป็นธรรม ซึ่งจะทำแบบนี้ได้ มีเป้าหมาย 3 เรื่อง คือ การสร้างรากฐานทางเศรษฐกิจให้มั่นคง (Firm Ground) การสร้างกลไกภาครัฐและกติกาการแข่งขันที่เป็นธรรม (Fair Game) และ การทำให้เศรษฐกิจไทยเติบโตพุ่งทะยานรองรับความท้าทายใหม่ๆ ของโลก (Fast Forward Growth)

เปิดตัว 7 ขุนพลเศรษฐกิจ “ก้าวไกล” ตั้ง 3 เป้าแก้รากฐาน-กติกา-พาไทยบุกตลาดโลก

นายวีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร รองศาสตราจารย์จากมหาวิทยาลัยด้านนโยบายสาธารณะ National Graduate Institute for Policy Studies (GRIPS) ประเทศญี่ปุ่น ประกาศวาระ “เปลี่ยน Made in Thailand เป็น Made with Thailand” โดยกล่าวว่า นโยบาย Made in Thailand ถูกใช้มาตั้งแต่ยุคพลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี คือการชวนคนเข้ามาลงทุน ลดแลกแจกแถม มีมาตรการภาษีสร้างแรงจูงใจ ทำให้จีดีพีประเทศโตขึ้น แต่คนไทยได้ส่วนแบ่งดอกผลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และนโยบายนี้ไม่เหมาะกับอุตสาหกรรมในปัจจุบัน ที่ห่วงโซ่อุปทาน (Supply chain) ไม่ได้ยึดติดกับดินแดนของประเทศใดประเทศหนึ่ง แต่เกี่ยวข้องกับหลายพื้นที่ทั่วโลก เช่น การผลิตสมาร์ทโฟน ซึ่งประเทศไทยตกขบวนไปแล้ว มีการออกแบบในสหรัฐอเมริกา ใช้ชิปจากไต้หวัน ตัวเก็บประจุ (Capacitor) จากญี่ปุ่น จอภาพจากเกาหลีใต้ ประกอบในจีนและอินเดีย ใช้สิทธิบัตรจากสวีเดน ดังนั้น ประเทศไทยต้องไม่ยึดติดกับคำว่า ‘In’ หรือการลงทุนในดินแดน แต่ต้องคิดใหม่ว่าจะทำอย่างไรให้ คนไทย การผลิตแบบไทย สิทธิบัตรไทย เข้าไปเชื่อมโยงเป็นส่วนผสมหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานของโลก เปลี่ยนจาก Made in Thailand เป็น ‘Made with Thailand’

“พรรคก้าวไกลให้ความสำคัญกับอุตสาหกรรมและภาคการผลิต ให้เป็นหัวใจของการพัฒนาเศรษฐกิจ เราต้องคิดใหม่ เปลี่ยนวิธีการ เปลี่ยนยุทธศาสตร์ รวมถึงเปลี่ยนผู้ทำนโยบายเท่านั้น ถึงจะเปลี่ยนเศรษฐกิจไทยได้” นายวีรยุทธ กล่าว

เปิดตัว 7 ขุนพลเศรษฐกิจ “ก้าวไกล” ตั้ง 3 เป้าแก้รากฐาน-กติกา-พาไทยบุกตลาดโลก

นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล อดีตผู้พิพากษาศาลสมทบในศาลทรัพย์สินทางปัญญาและการค้าระหว่างประเทศ อดีตกรรมการบริษัทเอกชนสินค้าไลฟ์สไตล์แบรนด์ไทย Moshi Moshi ประกาศวาระ “เปิดโอกาส เปิดตลาด SME” โดยกล่าวว่า ปัจจุบันไทยมี SME 3 ล้านราย จ้างงานถึง 1 ใน 3 ของประเทศ แต่ที่ผ่านมา SME อ่อนแอลงเรื่อยๆ พรรคก้าวไกลเสนอนโยบาย 5ต ทำให้ SME กลับมาเข้มแข็งเป็นพลังของเศรษฐกิจไทย ประกอบด้วย (1) ‘เติมทุน’ คือทุนตั้งตัว 100,000 บาท และทุนสร้างตัว 1,000,000 ล้านบาท ให้ผู้ประกอบการ SME เข้าถึงแหล่งทุนได้มากขึ้น โดยภายใน 4 ปีภายใต้รัฐบาลก้าวไกล ตั้งเป้าจะสร้างผู้ประกอบการ SME ที่เข้มแข็งกว่า 1 ล้านราย (2) ‘เติมตลาด’ เพื่อให้ SME เข้าถึงตลาดได้มากขึ้น (3) ‘ตั้งสภา’ SME ให้สามารถรวมกลุ่มกันได้ มีปากเสียงทัดเทียมกับทุนใหญ่ รวมถึงกำหนดนิยาม SME ให้เข้มงวดมากขึ้นเพื่อป้องกันปัญหาบริษัทขนาดใหญ่แตกบริษัทขนาดย่อยมาแข่งขัน (4) ‘ตัดรายจ่าย’ โดยปรับโครงสร้างภาษีนิติบุคคลในระบบก้าวหน้า ให้ SME เสียภาษีอัตราต่ำลง และเมื่อรัฐบาลก้าวไกลขึ้นค่าแรงขั้นต่ำสำเร็จ SME สามารถนำค่าจ้างลดหย่อนภาษีได้ 2 เท่าเป็นเวลา 2 ปี และ (5) ‘แต้มต่อ’ ให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บริษัทขนาดใหญ่ที่สนับสนุน SME สร้างระบบบริษัทใหญ่ช่วยบริษัทเล็ก เติบโตไปด้วยกัน รวมถึงนโยบายหวยใบเสร็จ อุดหนุนสินค้าจากร้านรายย่อย ลุ้นได้เงินล้านทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย

นายวรภพ วิริยะโรจน์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ประกาศวาระ “ทลายทุนผูกขาดเพื่อลดค่าครองชีพ” โดยกล่าวว่า การเปิดโอกาสให้ SMEs จำเป็นค้องทลายทุนผูกขาด ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมสุราที่มีมูลค่า 500,000 ล้านบาทต่อปี ซึ่งพรรคก้าวไกลจะแก้กฎหมายให้ประชาชนมีสิทธิ์เติบโตไปแข่งขันกับเจ้าสัวได้ การผูกขาดพลังงานหรือค่าไฟฟ้า ซึ่งพรรคก้าวไกลจะเสนอให้ยุติการผูกขาดสายส่ง เปิดเสรีธุรกิจไฟฟ้า, ปลดล็อคหลังคา เปิดให้บ้านเรือนใช้ ระบบ Net Metering ได้ ประชาชนติดตั้งโซลาร์บนหลังคา กลางวันไม่ได้ใช้ไฟฟ้าก็ขายคืนเข้าระบบ และจัดสรรก๊าซธรรมชาติของอ่าวไทยใหม่ให้คนไทยทั้งประเทศ ไม่ใช่แค่กลุ่มทุนเพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ พรรคก้าวไกลจะยกเครื่องกฎหมายแข่งขันทางการค้าฉบับใหม่ เปลี่ยนที่มาและเพิ่มอำนาจในการยุติการควบรวม และสั่งให้มีการแยกกิจการที่ผูกขาดได้เหมือนกับประเทศที่ทลายทุนผูกขาดได้สำเร็จ

เปิดตัว 7 ขุนพลเศรษฐกิจ “ก้าวไกล” ตั้ง 3 เป้าแก้รากฐาน-กติกา-พาไทยบุกตลาดโลก

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ ไล่สัตรูไกล ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ประกาศวาระ “UNLOCK เศรษฐกิจสร้างสรรค์” โดยกล่าวว่า ที่ผ่านมาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทยมีมูลค่า 1.2 ล้านล้านบาท มีคนทำงานในอุตสาหกรรมราว 900,000 คน พรรคก้าวไกลพร้อมพัฒนาเศรษฐกิจสร้างสรรค์ของไทยให้เทียบเท่านานาอารยประเทศ โดยจะเข้าไปแก้ปัญหาที่ฝังรากลึกทั้งหมด 4 อย่าง ประกอบด้วย (1) เติมงบประมาณ โดยต้องมีทิศทางการใช้จ่ายที่ชัดเจนไปในทางเดียวกัน ผ่านการเติมเงินกองทุนอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของคนตัวเล็กในการแสดงความสามารถ และกองทุนนี้ต้องทำหน้าที่เหมือนกองทุนตั้งตัวของ SME (2) สร้างสวัสดิการให้แก่คนทำงานสร้างสรรค์ ซึ่งมีทั้งคนเบื้องหน้าและเบื้องหลังหลายส่วน เช่น คนยกของ คนจัดไฟ ทุกคนต้องมีสวัสดิการรองรับ ให้มีคุณภาพชีวิตขั้นพื้นฐานที่ดี รองรับความไม่แน่นอน (3) เพิ่มทักษะความรู้และคุณภาพแก่คนในอุตสาหกรรม รวมถึงเปิดพื้นที่สร้างสรรค์ในจังหวัดต่างๆ โดยนำพื้นที่ราชพัสดุหรือพื้นที่ทหารมาใช้ให้เกิดประโยชน์ และ (4) ให้เสรีภาพแก่คนทำงาน ทบทวนแก้ไขกฎหมายที่กดทับวิธีคิดสร้างสรรค์ เช่น กฎหมายเซ็นเซอร์

ส่วนนายชัยวัฒน์ สถาวรวิจิตร ผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีทางการเงินและนักยุทธศาสตร์ด้านข้อมูล ประกาศวาระ ‘แปลงข้อมูลเป็นขุมทรัพย์’ โดยกล่าวว่า ข้อมูลเปรียบเหมือนน้ำมันดิบในโลกยุคใหม่ จากประสบการณ์ของตนในภาคการเงินและธนาคาร เห็นอุปสรรคมากมายที่ฉุดรั้งเศรษฐกิจเพียงเพราะขาดทรัพยากรข้อมูล ดังนั้น บทบาทของรัฐภายใต้รัฐบาลก้าวไกล จะปรับเปลี่ยนเป็นผู้สร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูล 3 อย่าง ได้แก่ (1) การพัฒนามาตรฐานข้อมูลและสร้างถนนให้ข้อมูลสามารถเชื่องโยงกันได้ภายใต้มาตรฐานเดียวกัน (2) การสร้างกฎจราจรให้มีกลไกควบคุมเรื่องความเป็นส่วนตัวและคุ้มครองความปลอดภัย และ (3) การสร้างพื้นที่จัดเก็บทรัพยากรข้อมูลให้พร้อมใช้ เป็นขุมทรัพย์ให้ภาคเอกชนนำมากลั่นสร้างธุรกิจแพลตฟอร์มบริการใหม่ๆ ต่อยอดมูลค่าให้สูงขึ้น ทำให้เศรษฐกิจไทยก้าวกระโดด ช่วยลดต้นทุนและกำแพงในการริเริ่มธุรกิจใหม่ๆ อย่างมหาศาล เช่น การมีข้อมูลด้านสุขภาพที่ครอบคลุม จะช่วยให้มีทางเลือกของประกันสุขภาพที่ตรงความต้องการของประชาชนมากขึ้นด้วยราคาที่ถูกลง

เปิดตัว 7 ขุนพลเศรษฐกิจ “ก้าวไกล” ตั้ง 3 เป้าแก้รากฐาน-กติกา-พาไทยบุกตลาดโลก
 
ส่วนนายเดชรัต สุขกำเนิด ผู้อำนวยการศูนย์นโยบายเพื่ออนาคต (Think Forward Center) ประกาศวาระ “หยุดแช่แข็งชนบทไทย” โดยกล่าวว่า ที่ผ่านมาโอกาสของภาคเกษตรไทยน้อยกว่าภาคการผลิตอื่น ในขณะที่เราหวังให้เกษตรกรอยู่คู่กับเมืองไทย แต่เราไม่เคยมีสวัสดิการและความมั่นคงในที่ดินให้เกษตรกร ทั้งหมดนี้นำมาสู่ปัญหาเรื้อรัง ในขณะที่ตนเป็นข้าราชการ สามารถออกจากระบบได้เพราะมีบำนาญรองรับ แต่พี่น้องเกษตรกรที่มีอายุมากกว่า 70 ปี กว่า 400,000 คน ไม่สามารถออกจากภาคการเกษตรได้เพราะยังอยู่ในวงจรหนี้ 

นายเดชรัต กล่าวอีกว่า ดังนั้น รัฐบาลก้าวไกลจะเปิดทางเลือกให้เกษตรกร ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสวัสดิการ เกษตรกรที่ทำงานหนักมาทั้งชีวิต ต้องได้รับเบี้ยยังชีพ 3,000 บาทต่อเดือน หากเจ็บป่วยติดบ้านติดเตียงต้องมีคนดูแลรักษา เด็กที่เกิดในครอบครัวเกษตรกรต้องได้รับสวัสดิการ 1,200 บาทต่อเดือน ส่วนเรื่องที่ดินทำกิน พรรคก้าวไกลพร้อมตั้งกองทุนพิสูจน์สิทธิ์และรับรองสิทธิในที่ดินทำกิน 10 ล้านไร่ โดยมีมาตรการป้องกันการเอารัดเอาเปรียบหรือแสวงหาผลกำไรจากนายทุน พี่น้องเกษตรกรที่อยู่มาก่อนรัฐประกาศทับที่ จะต้องได้รับโฉนด หน่วยงานราชการที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์จากที่ดิน ต้องคืนให้แก่ประชาชน รวมถึงการปลดล็อกหนี้สิน เช่น เช่าที่ดินของเกษตรกรเพื่อปลูกป่าและนำมาชำระหนี้ พรรคก้าวไกลเชื่อว่านโยบายทั้งหมดนี้ จะเพิ่มทางเลือกในชีวิตให้แก่เกษตรกรและหยุดการแช่แข็งภาคการเกษตรและชนบทไทย เปลี่ยนชนบทไทยให้ไม่เหมือนเดิม

เปิดตัว 7 ขุนพลเศรษฐกิจ “ก้าวไกล” ตั้ง 3 เป้าแก้รากฐาน-กติกา-พาไทยบุกตลาดโลก

น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล หัวหน้าทีมเศรษฐกิจ ประกาศวาระ “ยกเครื่องภาครัฐ นำเศรษฐกิจไทยก้าวหน้า” โดยกล่าวว่า การเปลี่ยนเศรษฐกิจไทย ต้องอาศัย 5 กลไก ได้แก่ (1) งบประมาณ หากก้าวไกลเป็นรัฐบาลจะมีการทำงบประมาณฐาน 0 (zero based budgeting) จัดงบประมาณโดยจัดลำดับความสำคัญใหม่ เนื่องจากที่ผ่านการจัดงบประมาณของภาครัฐไม่สะท้อนทิศทางนโยบายพัฒนาเศรษฐกิจ เช่น แผนงบประมาณของภาครัฐ มีแต่การใช้หนี้สร้างถนนหรือแหล่งน้ำ โครงการพัฒนาอุตสาหกรรมมีงบประมาณเพียงแค่หลัก 10 ล้านบาท (2) กิโยตินกฎระเบียบ เพราะกฎระเบียบยิ่งมาก คนที่ต้องแบกรับภาระคือ SME หากก้าวไกลเป็นรัฐบาล ต้องมีรัฐมนตรีที่รับผิดชอบเรื่องนี้โดยเฉพาะ ลดกฎระเบียบให้ได้ 50% หลายคนบอกว่าเป็นเรื่องยาก แต่จากประสบการณ์ในสภาฯ 4 ปี ตนเห็นแล้วว่าสามารถทำได้ ถ้ารัฐบาลมีเจตจำนงแน่วแน่ ซึ่งพรรคก้าวไกลยืนยันว่าเราพร้อมงัดข้อกับระบบราชการ ปรับปรุงกระบวนการต่างๆ ในการประกอบธุรกิจให้สะดวกยิ่งขึ้น

กลไกที่ (3) ปรับโครงสร้างกระทรวง เพื่อให้การยุบ-ควบรวมหน่วยงานรัฐ เพื่อตอบโจทย์การพัฒนาประเทศ ทำได้ง่ายขึ้น ด้วยการแก้ไข พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (4) การกระจายอำนาจ เนื่องจากท้องถิ่นมีศักยภาพมหาศาลที่จะระเบิดพลังทางเศรษฐกิจ รัฐบาลก้าวไกลจะเติมงบประมาณ อำนาจและทรัพยากร ไม่ให้ท้องถิ่นถูกแช่แข็ง แต่จะเป็นตัวจุดพลังทางเศรษฐกิจไทยให้กลับมา สร้างงานในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และ (5) การต่างประเทศ หากจะดำเนินนโยบายแบบ Made with Thailand ต้องมีสำนักงานผู้แทนการค้าที่ดูทั้งเรื่องการค้าและการลงทุน เพื่อแสวงหาโอกาสของประเทศไทย วางตำแหน่งและยุทธศาสตร์ของแต่ละอุตสาหกรรมอย่างชัดเจน เพื่อเข้าเป็นส่วนหนึ่งของห่วงโซ่อุปทานของโลก

“ทั้ง 5 กลไกที่ต้องปรับ เพื่อให้กลไกภาครัฐตอบสนองยุทธศาสตร์การพัฒนาเศรษฐกิจ ให้เศรษฐกิจไทยเติบโตไปข้างหน้าท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงของโลก เราเชื่อว่าทั้งหมดนี้จะเปลี่ยนเศรษฐกิจไทยให้ไม่เหมือนเดิมและเติบโตไปสู่อนาคตได้” น.ส.ศิริกัญญา กล่าว