สเปกนายกใหม่ของไทยแลนด์ | เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว

สเปกนายกใหม่ของไทยแลนด์ | เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว

ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด เดือนพฤษภาคมนี้เราคงมีโอกาสใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง จากนั้นอีกไม่กี่วัน คงจะพอเห็นหน้าเห็นตาว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่

ซึ่งอาจจะตรงใจหรือไม่ตรงใจเราก็ได้ เพราะตอนลงคะแนน คนส่วนใหญ่ก็มีภาพอยู่ในใจแล้วว่าอยากให้ใครได้เป็นนายกฯ กุมบังเหียนพาประเทศไทยไปข้างหน้า 

สถานการณ์ของประเทศไทยในวันนี้มีความท้าทาย ทั้งเรื่องที่ต้องจัดการในระยะสั้นเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนจากผลกระทบของโควิด-19 ระยะยาว

เรื่องการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างงาน การลดความเหลื่อมล้ำ การป้องกันและปราบปรามการทุจริต การยกระดับความสามารถในการแข่งขัน และการสร้างความเป็นธรรมทางสังคม

สเปกนายกใหม่ของไทยแลนด์ | เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว

ถ้าเปรียบประเทศไทยเป็นเรือที่กำลังล่องอยู่ท่ามกลางพายุลมฝน นายกฯ ก็คือกัปตันเรือ ที่ต้องเป็นผู้มีความรู้เกี่ยวกับเรือของตนเอง ทราบถึงจุดดีและข้อจำกัดของเรือ รวมถึงข้อจำกัดของตัวเอง

รู้ว่าสภาพอากาศแบบนี้ต้องบังคับเรืออย่างไร จัดลำดับความสำคัญของปัญหาที่แก้ได้เหมาะสม มีเป้าหมายระยะยาวในการเดินทางที่ชัดเจน สามารถบริหารจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดได้เป็นอย่างดี รู้จักใช้พระเดชพระคุณเพื่อให้ลูกน้องร่วมแรงร่วมใจกันทำงาน จนสามารถนำพาเรือไปยังจุดมุ่งหมายที่กำหนดเอาไว้ได้

หากนำเอาคุณสมบัติเหล่านี้มาเป็นเกณฑ์แล้ว นายกฯ คนใหม่ของเราควรจะมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้

1.รู้จักตัวเอง ไม่มีใครที่สมบูรณ์พร้อมไปเสียทุกเรื่อง คนที่จะเป็นผู้นำที่ดีไม่ใช่คนที่ต้องเก่งรอบด้าน ผู้นำคือคนที่รู้จักจุดอ่อนและจุดแข็งของตนเอง มีคุณธรรมและจริยธรรม รู้จักเลือกคนเข้ามาเป็นผู้ช่วยเหลือ เพื่อเสริมจุดแข็งและลดทอนจุดอ่อนของตนให้เหลือน้อยที่สุด

วิธีการที่จะรู้จักตัวเองได้ดีที่สุด คือ การรู้จักรับฟังความคิดเห็นของคนอื่น และยอมรับคำวิพากษ์วิจารณ์โดยปราศจากอคติ และเลือกรับเอาข้อติชมเหล่านั้นมาปรับปรุงตัวเองอยู่เสมอ

สเปกนายกใหม่ของไทยแลนด์ | เกียรติอนันต์ ล้วนแก้ว

2.รู้จักใช้คน โลกทุกวันนี้มีความสลับซับซ้อนมากเกินกว่าที่คนเพียงคนเดียวจะรับมือได้ คือ หมดยุคของนายกฯ อัศวินม้าขาวแล้ว สิ่งที่สังคมไทยต้องการตอนนี้ คือการมีกลุ่มคนที่มีความรู้ความสามารถและได้รับการฝึกฝนเป็นอย่างดีทำงานร่วมกันเป็นทีม โดยมีนายกฯ เป็นหัวใจของการขับเคลื่อนงาน ไม่ใช่ในฐานะผู้สั่งการเท่านั้น

แต่ยังต้องเป็นมือประสานสิบทิศ รู้จักจุดเด่นและข้อจำกัดของทีมงาน สามารถใช้คนได้ถูกและเหมาะสมกับงาน เปิดโอกาสให้เขาได้ใช้ศักยภาพที่มีอยู่ได้อย่างเต็มที่ มีลูกล่อลูกชนในการใช้พระเดชพระคุณเพื่อควบคุมลูกน้องไม่ให้ออกนอกลู่นอกทาง

3.รู้จักประเทศไทย นายกฯ ต้องมีความรู้ความเข้าใจว่า ตอนนี้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ สังคม การเมืองของไทยเป็นอย่างไร รวมทั้งสามารถประเมินได้ว่าสิ่งเหล่านี้มีผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ ความเชื่อ ความรู้สึกนึกคิด ความต้องการและทัศนคติของคนกลุ่มต่างๆ ในบ้านเมืองอย่างไร

ปัญหาเร่งด่วนตอนนี้ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การประสานรอยร้าวในสังคม ผลจากโควิด-19 ก็เป็นอีกเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม เพราะตอนนี้ภาคเศรษฐกิจของไทยบอบช้ำหนักเหลือเกิน แถมยังเป็นการฟื้นฟูเศรษฐกิจในขณะที่โลกหมุนเร็วขึ้นด้วยเทคโนโลยีดิจิทัล งานที่ว่ายากแล้ว เลยยากขึ้นไปอีกหลายเท่าตัว

4.รู้จักใช้เงิน การบริหารจัดการบ้านเมืองจำเป็นต้องใช้เงิน ผู้นำที่ขาดทักษะในการบริหารจัดการเงิน ใช้เงินโดยไม่รู้จักประเมินประโยชน์และต้นทุนให้รอบคอบ ไม่รู้จักหาจุดสมดุลระหว่างการใช้เงินเพื่อแก้ปัญหาระยะสั้นกับการวางรากฐานเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว

หากเลือกเข้าไปก็มีแต่จะทำให้รัฐจนลง ประชาชนต้องรับภาระมากขึ้น สุดท้ายก็เดือดร้อนกันไปหมด และที่สำคัญต้องรู้จักหาเงินเข้าประเทศให้เป็นด้วย

5.รู้เป้าหมาย ตอนนี้สังคมไทยกำลังสับสนว่าจะเดินไปทางไหน คนที่จะมาเป็นผู้นำประเทศต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจนว่าต้องการเห็นประเทศไทยไปทางไหน สามารถอธิบายให้ประชาชนเข้าใจได้ว่าเป้าหมายที่เสนอมามีดีอย่างไร

มีแผนการชัดเจนว่าจะบรรลุเป้าหมายเหล่านี้เมื่อไหร่และอย่างไร แล้วให้ประชาชนเป็นคนตัดสินใจว่า ต้องการจะร่วมเดินทางไปสู่เป้าหมายเหล่านั้นด้วยหรือไม่ รวมถึงการแสดงความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้าในการพาคนในชาติไปให้ถึงเป้าหมายนั้น 

สิ่งเหล่านี้จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับคนไทย และนักธุรกิจต่างชาติที่คิดจะเข้ามาลงทุนทำธุรกิจในประเทศไทย ทั้งยังเป็นการส่งสัญญาณให้กับภาคการเมืองและภาคส่วนต่างๆ ว่าคราวนี้จะเอาจริง จะทำเป็นเล่น เตะถ่วง หรือออกนอกลู่นอกทางไม่ได้

เกณฑ์ห้าข้อนี้เป็นหลักการพื้นฐานของผู้นำที่ดี หากเลือกตั้งนี้ประเทศไทยโชคดี มีคนซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้อาสาเข้ามาทำงานมากๆ ได้รับเลือกเข้าไปเป็นปากเป็นเสียงให้กับประชาชน และมีโอกาสเป็นผู้นำของประเทศ คราวนี้เราคงจะได้นายกรัฐมนตรีแบบถูกใจไทยแลนด์กันเสียที