อย่าหาเสียงเพลิน จนลืมฐานะการคลัง

อย่าหาเสียงเพลิน จนลืมฐานะการคลัง

เข้าสู่การแข่งขันด้านนโยบายกันอย่างเต็มที่สำหรับพรรคการเมืองเพื่อเตรียมพร้อมสู้ศึกเลือกตั้ง โดยเฉพาะนโยบายเกี่ยวกับรัฐสวัสดิการหรือประชานิยม ทำให้หลายฝ่ายเริ่มแสดงความกังวลว่าอาจส่งผลกระทบต่อการคลัง

ไม่บ่อยครั้งที่จะมีส่วนราชการออกมาแสดงความเห็นเกี่ยวกับนโยบายการหาเสียง ซึ่งขณะนี้ใกล้เข้าสู่การเลือกตั้งแล้ว โดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ประกาศว่าจะมีการยุบสภาภายในครึ่งแรกของเดือน มี.ค.2566 และจะมีการเลือกตั้งในเดือน พ.ค.2566 ซึ่งที่ผ่านมาหลายพรรคการเมืองทยอยรณรงค์หาเสียงกันแล้ว ทั้งการปิดป้ายหาเสียงในที่สาธารณะ รวมถึงการเปิดเวทีปราศรัย จะทำให้บรรกาศการเมืองมากขึ้นเมื่อประกาศยุบสภาอย่างเป็นทางการ

หลายพรรคการเมืองมีนโยบายเพื่อการดูแลประชาชนเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะการจัดสวัสดิการให้กับประชาชนแต่ละกลุ่ม ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มงบสวัสดิการแห่งรัฐสำหรับผู้มีรายได้น้อย การประกันราคาสินค้าเกษตร การเพิ่มเงินเบี้ยผู้สูงอายุ การพักหนี้ให้กับประชาชน การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ โดยหลายนโยบายเคยประสบความสำเร็จในแง่ของคะแนนนิยมมาแล้วและถูกนำมาใช้อีก ในขณะที่หลายนโยบายถูกคิดมาเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทของสังคมในปัจจุบัน เช่น สังคมผู้สูงอายุ

ปฏิเสธไม่ได้ว่ารัฐบาลมีข้อจำกัดในการจัดทำงบประมาณมาตลอดในช่วงหลายปีที่ผ่านมา จึงทำให้ต้องทำงบประมาณแบบขาดดุล นั่นหมายความว่ารัฐบาลจัดเก็บรายได้ต่ำกว่ารายจ่ายที่ตั้งไว้ โดยร่างงบประมาณปี 2567 ขาดดุล 593,000 ล้านบาท ดังนั้นการที่จะเพิ่มรายจ่ายตามนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่หาเสียงไว้ ควรดำเนินการควบคู่กับการเพิ่มรายได้ ซึ่งปัญหาการจัดเก็บภาษีของไทยส่วนหนึ่งสะท้อนได้จากการเก็บภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่มีสัดส่วนเพียง 13.2% ของรายได้จากภาษีทั้งหมด

สภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับนโยบายที่ใช้หาเสียงของพรรคการเมือง ซึ่งมองว่าควรมีการพิจารณาถึงแหล่งงบประมาณที่จะใช้ดำเนินการ รวมถึงควรมีการออกแบบนโยบายเพื่อให้การใช้งบประมาณมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยนโยบายการเพิ่มเงินของบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 700-1,000 บาท ดำเนินการได้ แต่ต่อไปควรลงทะเบียนตรวจสอบคุณสมบัติทุกปี และมีนโยบายที่ทำให้จำนวนผู้มีรายได้น้อยลดลง

การจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นสำหรับประเทศไทยดำเนินการได้ยาก โดยเฉพาะการจัดเก็บภาษีประเภทใหม่ ซึ่งเห็นได้จากการที่กระทรวงการคลังต้องยอมถอยการจัดเก็บภาษีซื้อขายหุ้น ทั้งที่ขั้นตอนคืบหน้าไปถึงขั้นรอประกาศใช้เป็นกฎหมาย ซึ่งทำให้ภาษีประเภทใหม่ที่กระทรวงการคลังศึกษาไว้จึงมีโอกาสน้อยที่จะนำมาใช้ เช่น ภาษีสิ่งแวดล้อม ดังนั้นเมื่อรัฐบาลจัดเก็บรายได้ได้น้อย มีจำนวนผู้เสียภาษีน้อย การใช้งบประมาณเพื่อความนิยมอย่างเดียวเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำ และเป็นสิ่งที่ทุกพรรคการเมืองควรระลึกไว้