เดิมพัน บริวาร “2 ป.” การเมืองต้องเลือก”นาย”

เดิมพัน บริวาร “2 ป.”  การเมืองต้องเลือก”นาย”

ฉากเริ่มของมหาศึก “2 ป.” ที่บริวาร “ประยุทธ์-ประวิตร” ประลองกำลังกันเอง ก่อนเปิดฉากรบเต็มรูปแบบ ในเมื่อเดิมพัน ไม่เพียงชัยชนะทางการเมืองเท่านั้น แต่ต้องแลกด้วยเส้นทางชีวิตกันเลยทีเดียว

เมื่อพี่น้อง 2 ป. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องแยกทางการเมืองกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ต่างฝ่ายจึงต่างมี “ขุนพล-ลูกหาบ” ที่ต้องเลือก “นาย”

บริวารของ “ประยุทธ์-ประวิตร” หลายคนวางอนาคตทางการเมืองของตัวเองผูกโยงกับ “นาย” หาก “นาย” อยู่ได้ ตัวเองย่อมอยู่รอดปลอดภัยตามไปด้วย ขณะที่ “บางคน” ไม่มีโอกาส จะเลือกนาย

เพราะมีคดีติดตัวจนกระดิกไปอีกฝั่งไม่ได้ ทว่า “บางคน” พยายามเชื่อมทุกเครือข่าย เพื่อดิ้นรนเอาตัวรอดทุกวิถีทาง

บริวารเบอร์หนึ่งของ “บิ๊กป้อม” ย่อมไม่พ้น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ส.ส. พะเยา ที่ถือเป็นมือปฏิบัติการลับ

“ผู้กองมนัส” เคยเป็นหัวหอก กบฏล้ม “นายกฯประยุทธ์” ในศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจปี 2564 แม้ต่อมา จะมีปฏิบัติการลับ เอาคืน “ธรรมนัส” หลายครั้ง แต่เจ้าตัวก็ปักหลักสู้ จนรอดมาได้หวุดหวิด

โดยเฉพาะคดี “ทุนจีนสีเทา” ที่มี “ตู้ห่าว” คนจีนที่โอนสัญชาติจีนมาถือสัญชาติไทย มี “ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์” เป็นตัวละครหลักในการเดินคดี ได้ผูกโยงความสัมพันธ์ของ “ตู้ห่าว” กับอดีตรัฐมนตรี ซึ่งกระสุนตกมายัง “ธรรมนัส”

เนื่องจากมีภาพตั้งใจหลุดในโซเชียลมีเดีย เชื่อมโยงความสัมพันธ์ “ธรรมนัส-ตู้ห่าว” ที่ไปร่วมงานแต่ง และหลากหลายอิริยาบท ให้สังคมตีความไปได้ว่า “ธรรมนัส” มีส่วนกับคดีทุนจีนสีเทาหรือไม่

ทำให้ช่วงหนึ่ง “ธรรมนัส” ถูกจับจ้องว่าเดินทางออกจากประเทศไทยไปกบดานอยู่ประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อรอสัญญาณทางการเมือง รอเช็คสถานการณ์ให้ชัวร์ว่าตัวเองปลอดภัย ก่อนเดินทางกลับเข้ามายังประเทศไทย

จากนั้น มีขบวนการพลิกเกมคดีตู้ห่าว ด้วยการแฉปมรถทัวร์กว่า 400-500 คันของบริษัท เอ็มแอนด์ เอ็ม ทรานสปอร์ต เซอร์วิส จำกัด ซึ่งมีชื่อของ “หลานชาย” พล.อ.ประยุทธ์ ถือหุ้นในบริษัทดังกล่าว

ส่งผลให้คดีพลิกทันที จากที่ “ธรรมนัส” โดนไล่ต้อน กลับมาถือแต้มต่อ และเคลื่อนเกมสนับสนุน “ประวิตร” ได้เต็มตัว ท่ามกลางการจับตาว่า จะกลับมามีอำนาจภายในพรรคพลังประชารัฐหรือไม่

ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ยังมีการเปิดเกมเล่นงาน “รัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา” อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช ปมเรียกรับเงินแต่งตั้งโยกย้ายตำแหน่งจากผู้ใต้บังคับบัญชา

เป็นที่รู้กันว่า “รัชฏา” เป็นน้องชายของ “บิ๊ก ย.” เพื่อนสนิท-เพื่อนเลิฟ-เพื่อนก๊วนกอล์ฟของ “เบอร์หนึ่งตึกไทยคู่ฟ้า” การเล่นงาน “รัชฏา” ย่อมตีวัวกระทบคราดให้ถึง “บิ๊กเนม” แต่มีการแก้เกมย้าย “รัชฏา” เข้ากรุสำนักนายกรัฐมนตรี แม้จะดูดี แต่ไม่พ้นถูกตีความว่าปิดโอกาสสอบสวนการกระทำความผิด

เพราะสำนักนายกรัฐมนตรีต้นสังกัดใหม่ของ “รัชฏา” ไม่สามารถตั้งเรื่องสอบได้ เนื่องจากไม่ใช่หน่วยงานต้นเหตุของการกระทำความผิด เช่นเดียวกับ กรมอุทยานฯ เมื่อ “รัชฏา” ถูกย้ายออกจากหน่วยงานแล้ว ย่อมไม่มีอำนาจสอบเช่นกัน

คดี “รัชฏา” จึงรอเวลาให้ข่าวคราวเงียบหาย ท่ามกลางกระบวนการสอบสวนที่เดินไปอย่างช้าๆ ไม่มีอะไรคืบหน้าออกมาให้เห็น

สำหรับขุนพล พลังประชารัฐอีกราย ที่อยู่ในสภาวะจำยอมคือ “บิ๊กแป๊ะ” พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา อดีตผบ.ตร. เหมือนติดกับดัก จำเป็นต้องอยู่ภายในรั้ว “บ้านป่ารอยต่อ” ไม่มีโอกาสเดินเฉี่ยว “ตึกไทยคู่ฟ้า” ทั้งที่ใจอาจจะอยากบินเข้ารั้ว “ทำเนียบรัฐบาล”

เนื่องจาก “จักรทิพย์” ยังมีคดีอยู่ในชั้นไต่สวนของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) หลายคดี อาทิ 1.การจัดซื้อโครงการรถยนต์ไฟฟ้าตรวจการณ์อัจฉริยะ 260 คัน วงเงิน 900 ล้านบาท ระหว่างปีงบประมาณ 2560และ2561

2.โครงการจัดซื้อไบโอเมตริกซ์ หรือการตรวจสอบอัตลักษณ์บุคคลของสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (สตม.) วงเงิน 2,100 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีมือดีเดินเกมใต้ดินเคลื่อนไหวปล่อยข่าว “ลูกชาย” มีส่วนพัวพันสินบนยาเสพติด 200 ล้านบาท โดยมีการกล่าวอ้างไปถึง การส่งให้ “บิ๊กเนม” จนสั่นสะเทือนวงการสีกากี

นี่เป็นเพียง แค่ฉากเริ่มของมหาศึก “2 ป.” ที่บริวาร “ประยุทธ์-ประวิตร” ประลองกำลังกันเอง ก่อนเปิดฉากรบเต็มรูปแบบ ในเมื่อเดิมพัน ไม่เพียงชัยชนะทางการเมืองเท่านั้น แต่ต้องแลกด้วยเส้นทางชีวิตกันเลยทีเดียว