แกนนำ นปช.โล่ง! อุทธรณ์ยืนยกฟ้องกราวรูด เว้น "เจ๋ง ดอกจิก" โดนคุก 5 ปี 4 เดือน

แกนนำ นปช.โล่ง! อุทธรณ์ยืนยกฟ้องกราวรูด เว้น "เจ๋ง ดอกจิก" โดนคุก 5 ปี 4 เดือน

ศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องกราวรูด แกนนำ นปช.คดีชุมนุมก่อการร้ายปี 53 เว้น "เจ๋ง ดอกจิก" โดนคุก 5 ปี 4 เดือน เหตุประกาศให้ม็อบทำลายทรัพย์สินราชการ “จตุพร” ยันอุดมการณ์ประชาธิปไตยยังเหมือนเดิม "ณัฐวุฒิ" ชี้อยากให้ผลวันนี้เป็นเกียรติแก่เสื้อแดง

เมื่อวันที่ 9 ม.ค. 2566 ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ คดีหมายเลขดำที่ อ.2542/2553 กรณีพนักงานอัยการคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้แก่ นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ อดีตประธาน นปช. นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ อดีตเลขาธิการ นปช. (ปัจจุบันเป็นผู้อำนวยการครอบครัวเพื่อไทย) นพ.เหวง โตจิราการ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นายยศวริศ ชูกล่อม หรือ “เจ๋ง ดอกจิก” นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง หรือ “กี้ร์” แกนนำ นปช. กับพวก รวม 24 คน ในคดีเกี่ยวกับการก่อการร้ายจากการชุมนุมเมื่อปี 2553

โดยทั้งหมดเป็นจำเลยที่ 1-24 รวม 6 ข้อหา ในความผิดฐานร่วมกันในคดีก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1, 135/2 ร่วมกันมั่วสุมตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา ให้ล่วง ละเมิดกฎหมายแผ่นดิน เพื่อให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ตามมาตรา 116, 215, 216 และร่วมกันชุมนุมฝ่าฝืน พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 รวม 6 ข้อหา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ นายวีระกานต์ นายณัฐวุฒิ นายจตุพร นพ.เหวง รวมถึงแกนนำ และแนวร่วม นปช.ที่ได้รับการประกันตัวเดินทางมาฟังคำพิพากษาครบทุกคน ยกเว้นนายสมบัติ มากทอง จำเลยที่ 16 เสียชีวิต กับนายสุรชัย เทวรัตน์ จำเลยที่ 17 และ นายอริสมันต์ จำเลยที่ 24 ที่หลบหนี ขณะเดียวกันศาลจะอ่านคำพิพากษาผ่านวิดีโอคอนเฟอร์เรนซ์ไปให้ นายสมพงษ์ บังชม จำเลยที่ 23 ซึ่งถูกคุมขังในเรือนจำพิเศษกรุงเทพฯฟัง 

ทั้งนี้นางธิดา ถาวรเศรษฐ ประธานที่ปรึกษา นปช. นายวิญญัติ ชาติมนตรี ทนายความ นปช. คนใกล้ชิดและผู้ติดตามเกือบ 30 คนที่เดินทางมาให้กำลังใจกลุ่ม นปช. ร่วมฟังคำพิพากษา ขณะที่ศาลมีตำรวจจาก สน.พหลโยธิน และเจ้าพนักงานตำรวจศาล (คอร์ทมาแชล) เข้าร่วมรักษาความปลอดภัยบริเวณศาลและภายในห้องพิจารณาคดี

ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือกันแล้วเห็นว่า พยานหลักฐานโจทก์นำสืบฟังได้ว่า นายยศวริศ จำเลยที่ 7 ประกาศให้ผู้ชุมนุมร่วมกันรื้อค้นและทุบทำลายรถยนต์ของทางราชการได้รับความเสียหาย มีความผิดฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 358 และกระทำการให้กลัวว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต และเป็นการข่มขืนใจเจ้าหน้าที่ให้ยินยอมโดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย อันเป็นความผิดต่อเสรีภาพ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง

ส่วน นายสุขเสก จำเลยที่ 12 พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่า จำเลยแต่งกายด้วยเสื้อผ้าสีดำ และมีพฤติการณ์เกี่ยวข้องกับการนำเครื่องยิงระเบิดเอ็ม79 ระเบิดลูกเกลี้ยง และกระสุนปืนจำนวนหนึ่งไปให้บุคคลนำไปฝัง ซึ่งต้องการปิดบังอำพรางอาวุธดังกล่าว โดยมีพยานซึ่งเบิกความไปตามข้อเท็จจริงที่ได้รู้เห็นมา พยานหลักฐานของโจทก์จึงมีน้ำหนักรับฟังได้ โดยปราศจากสงสัยว่าจำเลยที่ 12 เป็นผู้ใช้เครื่องยิงระเบิดเอ็ม79 ขณะเจ้าหน้าที่ปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุม เป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่และผู้ชุมนุมเสียชีวิตและได้รับบาดเจ็บ

การกระทำของจำเลยที่ 12 จึงเป็นการใช้กำลังประทุษร้าย หรือกระทำการใดอันก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต หรืออันตรายอย่างร้ายแรงต่อร่างกายของบุคคลใด เพื่อสร้างความปั่นป่วนโดยให้เกิดความหวาดกลัวในหมู่ประชาชน อันเป็นการกระทำความผิดฐานก่อการร้าย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1 (1) 

อุทธรณ์โจทก์ฟังขึ้นบางส่วนพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 7 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 309 วรรคสอง และ 358 ประกอบมาตรา 83 ส่วนจำเลยที่ 12 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 135/1(1) วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 83 ให้เรียงกระทงลงโทษ จำเลยที่ 7 ฐานข่มขืนใจผู้อื่น โดยร่วมกระทำทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ 5 คนขึ้นไป จำคุก 5 ปี และฐานร่วมกันทำให้เสียทรัพย์ จำคุก 3 ปี รวมจำคุก 8 ปี

คำให้การจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาคดีอยู่บ้าง ลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกรวม 5 ปี 4 เดือน และให้นับโทษจำเลยที่ 7 ต่อจากคดีหมายเลขแดง อ.193/2556 ของศาลชั้นต้น

ส่วนนายสุขเสก จำเลยที่ 12 ให้ลงโทษจำคุกตลอดชีวิต ฐานร่วมกันก่อการร้าย

นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โดยนายยศวริศ จำเลยที่ 7 และนายสุขเสก จำเลยที่ 12 อยู่ระหว่างยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอประกันตัวสู้คดี

สำหรับคดีนี้ ศาลชั้นต้นคำพิพากษายกฟ้อง เมื่อวันที่ 14 ส.ค. 2562

ภายหลังคำพิพากษา นายณัฐวุฒิ กล่าวว่า ตนเคารพในคำพิพากษาและเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อสู้ทุกคดีความมาโดยตลอดจนปัจจุบัน วันนี้ขอพูดเหมือนเช่นที่เคยพูดไว้หลังจากฟังคำพิพากษาศาลชั้นต้นว่าไม่ได้เป็นชัยชนะ หรือความพ่ายแพ้ระหว่างโจทก์กับจำเลย พวกตนไม่ได้มีความรู้สึกว่าเราได้รับชัยชนะต่อเจ้าพนักงานอัยการ หรือเราไม่ได้มีความรู้สึกว่านี่คือการต่อสู้กันระหว่างสองฝ่าย แต่ที่จริงมันคือการปฏิบัติหน้าที่กันอย่างชัดเจนตรงไปตรงมา ผ่านกระบวนการยุติธรรมโดยมีศาลท่านเป็นผู้พิพากษา

“วันนี้ผลแห่งคำพิพากษาซึ่งตรงกันทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์อย่างที่กล่าวไว้ว่าพวกผมน้อมรับ และอยากให้คำพิพากษานี้เป็นเกียรติยศกับพี่น้องประชาชนที่ร่วมต่อสู้ในนามของคนเสื้อแดง ให้คำพิพากษานี้เป็นเกียรติยศของประชาชนที่สูญเสียชีวิต บาดเจ็บ หรือสูญเสียอิสรภาพจากการต่อสู้ของคนเสื้อแดง พิสูจน์ในกระบวนการยุติธรรมว่าเราต่อสู้โดยยืนอยู่บนหลักการประชาธิปไตย ไม่มีเป้าหมาย หรือเจตนาอื่น” นายณัฐวุฒิ กล่าว

นายณัฐวุฒิ กล่าวอีกว่า เมื่อศาลวินิจฉัยออกมาแล้วก็อยากจะให้สิ่งเหล่านี้เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญจุดหนึ่งที่จะทำให้สังคมไทยเราสามารถอยู่ร่วมกันได้ ไม่ว่าจะเห็นด้วย หรือเห็นต่างกันในทางการเมือง หากจะมีความไม่เข้าใจความจริงทางกันอยู่ก็ขอให้พวกตน ซึ่งเป็นแกนนำได้ทำหน้าที่พิสูจน์ตัวเองตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป ส่วนในระหว่างประชาชน ไม่ว่าจะสีไหน ฝ่ายใด มองว่าเราน่าจะเข้าอกเข้าใจรับฟังกันเห็นอกเห็นใจกัน

ส่วนการดำเนินการหลังจากนี้ นายณัฐวุฒิกล่าวว่า ยังไม่ทราบ คดีนี้เมื่อศาลชั้นต้นกับศาลอุทธรณ์พิพากษามาตรงกันก็ต้องรอดูกระบวนการว่าจะเป็นอย่างไร ขอกลับไปหารือกับทีมฝ่ายกฎหมายให้ชัดเจนก่อน โดยจะคัดเอาสำเนาคำพิพากษามาศึกษากันอย่างครบถ้วน เพื่อดำเนินการต่อสู้ต่อไป

อย่างไรก็ดีก่อนเข้ารับฟังคำพิพากษา นายจตุพร กล่าวว่า คดีนี้เป็นคดีก่อการร้ายในเหตุการณ์สลายการชุมนุมปี 2553 ซึ่งเป็นการอ่านคำตัดสินในชั้นอุทธรณ์ ทั้งนี้ คำพิพากษาศาลชั้นต้นศาลได้พิพากษายกฟ้อง แต่อัยการมีการยื่นอุทธรณ์ และศาลก็ได้นัดอ่านในวันนี้ จากสาระตามคำฟ้องและคำพิพากษาของศาลชั้นต้นเป็นประเด็นคดีก่อการร้ายคดีเดียว เพราะฉะนั้นเมื่อไม่มีพฤติกรรมที่เข้าข่ายข้อกฎหมาย ศาลก็พิพากษายกฟ้องไป

นายจตุพร กล่าวอีกว่า ตนยังมีคดีเหลืออีกมากมาย โดยเฉพาะในศาลอาญา รวมคดีนี้ด้วยเป็น 4 คดี อยู่ในศาลชั้นต้นอีก 3 คดี ภายหลังจากคดีผ่านมาเกือบ 14 ปี ก็ถูกหยิบยกนำกลับมาฟ้อง ซึ่งผมโดนอยู่คนเดียว แต่ทั้งหมดทั้งปวงก็ได้พูดมาตั้งแต่ตอนต้นว่าไม่ตายก็ติดคุก แต่เมื่อเลือกหนทางนี้แล้ว ไม่เคยมานั่งนับเวลาว่าเมื่อพ้นโทษแล้วจะได้กลับมาสนามการเมืองอีกครั้ง เพราะคดียาวเป็นหางว่าว

นายจตุพร กล่าวด้วยว่า ตนเจอในสิ่งที่ทุกคนไม่เคยเจอ แม้กระทั่งคดีแพ่งเวลานี้ก็ถูกฟ้องที่จะยึดบ้าน และอีกไม่กี่วันบ้านก็จะต้องถูกยึด เพียงแต่เราเองมีหลักการในการต่อสู้ ยืนยันต่อสู้มาตั้งแต่วัยเด็ก แม้ว่าระหว่างทางจะแวะพรรคการเมืองบ้าง แต่อุดมการณ์ประชาธิปไตยยังคงเหมือนเดิม

“บางเวลาก็ถูกใจคนบ้าง ไม่ถูกใจใครบ้าง และในวันนี้ก็น้อมรับคำวินิจฉัยของศาล ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไร ผมออกและเข้าคุกมาแล้วกว่า 5 ครั้ง รวมถึงยังถูกตั้งข้อสงสัย ถูกตั้งข้อกล่าวหาจากหลายครั้ง ซึ่งผมก็เป็นของผมแบบนี้ไม่เคยเปลี่ยน หลักการเป็นอย่างไรก็ว่ากันไปอย่างนั้น” นายจตุพร กล่าว