“การเมือง” โหมประชานิยม เอาตัวรอดในสนามเลือกตั้ง

“การเมือง” โหมประชานิยม เอาตัวรอดในสนามเลือกตั้ง

เมื่อใกล้วันเลือกตั้งจะเห็นนโยบายหาเลือกในเชิงประชานิยมเพิ่มมากขึ้น นโยบายค่าแรงขั้นต่ำถูกนำมาใช้รณรงค์หาเสียงต่อเนื่อง โดยศึกเลือกตั้งที่ใกล้จะมาถึงนี้ พรรคเพื่อไทยชูนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ขณะที่พรรคก้าวไกลปรับค่าแรงทุกปี โดยเริ่มที่ 450 บาท

การเลือกตั้งในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา นโยบาย ค่าแรงขั้นต่ำ ถูกนำมาใช้รณรงค์หาเสียงต่อเนื่อง โดยเฉพาะการเลือกตั้งในปี 2554 ที่ พรรคเพื่อไทย ชูนโยบายค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท ซึ่งก่อนหน้านั้นฝ่ายการเมืองมีผลต่อการตัดสินใจของคณะกรรมการค่าจ้าง (คณะกรรมการไตรภาคี) ในการปรับค่าแรงขั้นต่ำ แต่ครั้งนี้มีความชัดเจนมากขึ้นเมื่อคณะกรรมการค่าจ้างต้องพิจารณาปรับค่าจ้างขั้นต่ำตามที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงไว้ และทยอยปรับเป็นวันละ 300 บาท ในปี 2555-2556

คณะกรรมการค่าจ้าง ประกอบด้วยกรรมการ 3 ฝ่าย คือ ฝ่ายลูกจ้าง ฝ่ายนายจ้าง และฝ่ายราชการ ที่มีหน้าที่กำหนดค่าจ้างขั้นต่ำ โดยจะมีคณะอนุกรรมการค่าจ้างจังหวัดของทุกจังหวัดสรุปข้อเสนอมาให้คณะกรรมการค่าจ้างพิจารณาปรับค่าจ้างขั้นต่ำ ซึ่งเป็นการนำรูปแบบมาจากต่างประเทศ โดยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเข้ามาร่วมพิจารณาตามข้อมูลทางเศรษฐกิจและสังคมมาตั้งแต่ปี 2515 จึงถือได้ว่าคณะกรรมการค่าจ้างกลางมีอิทธิพลอย่างสูงต่อตลาดแรงงานของประเทศไทย

การเลือกตั้งครั้งถัดมาในปี 2562 ยังคงมีหลายพรรคการเมืองที่ใช้ นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ ในการหาเสียง รวมถึง พลังงานพลังประชารัฐ ที่เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในปัจจุบัน หาเสียงด้วยนโยบายค่าแรงขั้นต่ำวันละ 420 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี 20,000 บาท แต่ไม่สามารถผลักดันได้ตามที่หาเสียงไว้ ในขณะที่พรรคเพื่อไทยหาเสียงที่วันละ 400 บาท เงินเดือนปริญญาตรี 18,000 บาท และพรรคประชาธิปัตย์หาเสียงด้วยนโยบายประกันรายได้ขั้นต่ำวันละ 400 บาท 

ขณะนี้เหลือเวลาอีกไม่เกิน 6 เดือน จะมีการเลือกตั้งอีกรอบ และพรรคเพื่อไทยได้ประกาศนโยบายหาเสียงที่เกี่ยวกับค่าแรงขั้นต่ำไว้แล้วที่วันละ 600 บาท และเงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท ภายในปี 2570 ในขณะที่พรรคก้าวไกล ได้เปิดนโยบายสวัสดิการไทยก้าวหน้า โดยในวัยทำงานจะทำให้ได้รับค่าแรงขั้นต่ำที่ปรับขึ้นทุกปี เริ่มต้นวันละ 450 บาท ส่วนพรรคสร้างอนาคตไทย ที่แม้ยังไม่ชัดเจนว่ามีนโยบายค่าแรงขั้นต่ำเท่าไหร่ แต่มีจุดยืนการปรับค่าแรงขั้นต่ำควรแบ่งตามประเภทแรงงาน

เมื่อใกล้วันเลือกตั้งจะเห็นนโยบายหาเลือกในเชิงประชานิยมเพิ่มมากขึ้น โดยพรรคการเมืองที่รณรงค์หาเสียงด้วยนโยบายดังกล่าว ซึ่งจะมีอีกหลายนโยบายนอกเหนือจากค่าจ้าง จึงจำเป็นต้องอธิบายถึงที่มาของแหล่งเงินที่ใช้ดำเนินการ รวมถึงที่มาของงบประมาณที่ใช้ดำเนินการ ซึ่งบางนโยบายไม่สามารถบังคับตามกฎหมายได้ เช่น เงินเดือนผู้จบปริญญาตรี ซึ่งจะทำให้รัฐบาลใหม่อาจต้องบังคับกับการจ้างงานภาครัฐก่อน หากดูแล้วนโยบายใดมีความเป็นไปได้น้อยหรือมีผลกระทบมากก็ไม่ควรนำมาใช้หาเสียง