วัดใจลูกหาบ “นายกฯ คนละครึ่ง” เกมแลก กระแส-กระสุน เลือกตั้ง

วัดใจลูกหาบ “นายกฯ คนละครึ่ง” เกมแลก กระแส-กระสุน เลือกตั้ง

เมื่อเวลาจวนเจียนใกล้จะต้องเลือกตั้ง ลูกพรรคพลังประชารัฐ จึงต้องออกหน้าแบกลุงป้อมเต็มตัว เพราะเป็นคนเดียวที่คุมทิศทางการไหลของท่อน้ำเลี้ยงหรือแจกจ่ายกระสุนแบบไม่ขาดตกบกพร่อง

พลังประชารัฐนาทีนี้ดูจะเผชิญวิกฤติเรื่องตัวผู้นำอย่างชัดเจน ขาดไร้ตัวบุคคลที่จะชูในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ท่ามกลางความระหองระแหงของพี่น้อง 2 ป. ที่ไร้วี่แววว่าจะได้ข้อสรุปในเร็ววัน จะไปด้วยกันต่อ หรือต้องโบกมือทางใครทางมัน กลายเป็นความอึมครึม จนลูกพรรคอึดอัด

เส้นทางทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่ดูไม่ค่อยสดใส ด้วยเงื่อนไขติดล็อก 8 ปีจึงจะอยู่บนหลังเสือเป็นนายกฯ ได้อีกแค่ 2 ปีเท่านั้น ทั้งที่เรตติ้งในพื้นที่ภาคใต้มาเป็นอันดับ 1 ของนิด้าโพล 

สวนทางกับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่เส้นทางขึ้นสู่อำนาจสดใสกว่า แต่ก็ติดเงื่อนไขเรื่องเรตติ้งที่ไม่สู้ดีนัก โดยเฉพาะในพื้นที่ด้ามขวานไม่ปรากฎชื่อของพี่ใหญ่ติดโพลสำหรับคนที่อยากให้เป็นนายกฯ 

ทั้งพล.อ.ประยุทธ์ และพล.อ.ประวิตร จึงติดเงื่อนไขกันคนละแบบ คนใต้ยังเชียร์น้องเล็ก 3ป. แต่ไปต่อได้แค่ครึ่งเทอม เทียบกับความนิยมของพี่ใหญ่ที่ไม่สามารถครองใจคนใต้ส่วนใหญ่ได้เลย 

ศึกเลือกตั้งซ่อม 2 สนามที่ชุมพร และสงขลา คนใต้ก็ได้สั่งสอนผู้มีอำนาจมาครั้งหนึ่งแล้ว ช่วงนั้น ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นเลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ตะลุยหาเสียงแบบสวนกระแสด้วยการชูลุงป้อม แล้วเก็บลุงตู่ใส่ลิ้นชัก แทบทุกเวทีปราศรัยขึ้นอวยแต่พล.อ.ประวิตร โดยไม่เอ่ยชื่อพล.อ.ประยุทธ์ เลย 

ผลเลือกตั้งซ่อมคราวนั้นปรากฎว่า พลังประชารัฐ แพ้ทั้ง2สนาม ทั้งที่มีอำนาจรัฐ และปัจจัยในมือล้นเหลือ ระดมใช้ทุกอย่างเต็มสูบ จนคู่แข่งต้องออกมาโวยวาย เพราะโดนสกัดทุกรูปแบบสนามภาคใต้นี่เองที่ช็อกลุงป้อม พร้อมกับบทเรียนราคาแพง ลำพังแค่มีอำนาจไม่เพียงพอที่จะชนะใจคนได้    

มาถึงวันนี้ ความไม่ชัดเจนหลายเรื่องในพลังประชารัฐ ทั้งเรื่องตัวผู้นำ นโยบาย และยุทธศาสตร์เตรียมการเลือกตั้งของพรรค เป็นสิ่งที่ลูกพรรคหวาดหวั่นกันอย่างมาก เพราะยังไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน เอาไปนำเสนอประชาชนเพื่อให้ได้รับเลือกตั้งกลับมา  

ดังนั้น เมื่อพล.อ.ประยุทธ์ ยังไม่มีความชัดเจน ว่าจะเอาอย่างไรต่อ ยิ่งนานวันก็ยิ่งทำให้ส.ส.พลังประชารัฐ ในสายที่สนับสนุนตัวเองต้องเริ่มมองหาลู่ทางเพื่อความอยู่รอด โดยเฉพาะพื้นที่ภาคใต้อย่าง รงค์ บุญสวยขวัญ ส.ส.นครศรีธรรมราช ที่ออกมาชูโมเดลนายกฯ คนละครึ่ง คือหมดพล.อ.ประยุทธ์ ก็ดันพล.อ.ประวิตร ขึ้นเสียบแทนนั้น

จนมีข้อสังเกตว่าสายตรงลุงตู่อย่างส.ส.รงค์ ที่พูดแบบนี้ เพราะรู้ดีว่าในการเลือกตั้ง มีแต่ลุงป้อมเท่านั้นที่ซัพพอร์ต ช่วยดูแลรับผิดชอบในการหาเสียง ส่วนพล.อ.ประยุทธ์ แม้กระแสยังดีแต่ก็เป็นที่รู้กันว่ามักลอยตัว ไม่ตอบสนองใดๆต่อส.ส.ใช่หรือไม่ 

ดังนั้น เมื่อเวลาจวนเจียนใกล้จะต้องเลือกตั้ง ลูกพรรคพลังประชารัฐ จึงต้องออกหน้าแบกลุงป้อมเต็มตัว เพราะเป็นคนเดียวที่คุมทิศทางการไหลของท่อน้ำเลี้ยงหรือแจกจ่ายกระสุนแบบไม่ขาดตกบกพร่อง 

แม้จะรู้ดีว่าหัวหน้าพรรคไม่เป็นแม่เหล็กดึงคะแนนเสียงก็ตาม ถึงเสี่ยงแต่ก็ดีกว่า เพราะมีสภาพคล่องให้ลุยในกระดานต่อไป