“พิธา” ให้คะแนนรัฐบาลติดลบทุกด้าน ประชาชนสิ้นหวัง เศรษฐกิจโตช้าสุดในอาเซียน
![“พิธา” ให้คะแนนรัฐบาลติดลบทุกด้าน ประชาชนสิ้นหวัง เศรษฐกิจโตช้าสุดในอาเซียน](https://image.bangkokbiznews.com/uploads/images/md/2022/10/iKhmP2enAiHnNFZk7JGy.webp?x-image-process=style/LG)
“พิธา” พูดกลางวงเสวนา ให้คะแนนรัฐบาลติดลบทุกด้าน กลายเป็นสังคมแห่งความสิ้นหวัง เศรษฐกิจโตช้าสุดในอาเซียน ทำประชาชนตื่นรู้ เกิดฉันทามติทางสังคมต้องการเปลี่ยนแปลง ย้ำอนาคตมองเป้าชาติเติบโต ลดความเหลื่อมล้ำ
เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2565 นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และหัวหน้าพรรคก้าวไกล ร่วมวงเสวนา “ตื่น ฟื้น ฝัน” จัดขึ้นโดยสำนักข่าวไทยรัฐ ซึ่งเชิญบุคคลจากทั้งวงการเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ร่วมแลกเปลี่ยนถึงความเป็นไปในอนาคตของประเทศไทย ตอนหนึ่งว่า สังคมไทยตื่นรู้ขึ้นกว่าเดิมมาก มีฉันทามติร่วมกันอย่างเห็นได้ชัดในกลุ่มคนหลายชนชั้น ฐานประชากร และอายุ ที่ต้องการ การเลือกตั้งครั้งใหม่ การเปลี่ยนแปลงกฎกติกาที่จะทำให้ประเทศไทยก้าวหน้าไปได้ มองเห็นความเชื่อมโยงกันระหว่างการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เข้าใจในเรื่องของความเหลื่อมล้ำ และการกระจายอำนาจ เชื่อว่ารัฐประหารไม่ใช่คำตอบ
ส่วนการให้คะแนนรัฐบาลนั้น นายพิธา กล่าวว่า ขอให้คะแนนติดลบ ด้านแรก ในเรื่องของเศรษฐกิจ แม้ในไตรมาสล่าสุดจะโตขึ้นมา 2.5% เป็นอันดับ 6 ของอาเซียน แต่ก็ยังตามหลังเวียดนาม ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย ที่โตสูงสุดกว่า 7% และยังมีปัญหาการฟื้นฟูหลังโควิดที่ไม่เท่าเทียมกัน จนนำไปสู่ความเหลื่อมล้ำมากขึ้น ในด้านการเมือง 8 ปีที่ผ่านมา ดัชนีชี้วัดการทุจริตของไทยตกไป 8 อันดับ คะแนนความเป็นประชาธิปไตยก็ลดลงมาจนเกือบจะตกการจัดชั้นเป็นประเทศประชาธิปไตย ส่วนในด้านสังคม ประเทศไทยก็มีคนเสียชีวิตด้วยการทำร้ายตัวเอง ยาเสพติด สุราเรื้อรัง เพิ่มขึ้นถึง 34% เป็นอันดับ 1 ในประเทศอาเซียน
นายพิธา กล่าวด้วยว่า สำหรับอนาคตของประเทศไทย ตัวเองอยากเห็นการเติบโตที่ตอบโจทย์ความท้าทาย ทั้งในเรื่องเศรษฐกิจดิจิทัล การแปรรูปสินค้าการเกษตร การปฏิรูปการศึกษา และการลดความเหลื่อมล้ำ โดยเฉพาะในด้านรายได้ การถือครองทรัพย์สิน การเข้าถึงทรัพยากร และความเหลื่อมล้ำระหว่างพื้นที่ ซึ่งที่ผ่านมาการจัดสรรงบประมาณล้วนไม่ตอบโจทย์ดังกล่าว ดังนั้น ในทางเป้าหมาย จะต้องมีการกระจายที่ดินที่ถือครองโดยรัฐอยู่ถึง 60% โดยต้องมีการลดลงให้ได้อย่างน้อยครึ่งหนึ่ง การกระจายภาคท่องเที่ยวไม่ให้กระจุกอยู่แค่ 5 จังหวัดหลัก แต่ต้องให้เมืองรองได้รับผลพวงจากการเติบโตด้วย อุตสาหกรรมที่ไม่พึ่งเพียงภาคยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์อย่างเดียวแต่มีอุตสาหกรรมใหม่ๆ ที่สามารถกระจายความมั่งคั่งออกไปได้ทั่วประเทศอย่างยั่งยืน และการกระจายทั้งอำนาจ และงบประมาณออกไปสู่ทุกพื้นที่
“จะมีประโยชน์อะไรถ้าประเทศจะมีคนรวยบ้านรั้วสูง และเต็มไปด้วยปัญหาสังคม ผมอยากฝันเห็นประเทศไทยที่ก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน การเติบโตที่มาพร้อมกับความเท่าเทียม ทั้งในเรื่องของการเข้าสู่อำนาจทางการเมือง และเศรษฐกิจที่เติบโตควบคู่กับสวัสดิการไปด้วยกัน” นายพิธา กล่าว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์