“รัฐบาล” ยัน เงินสำรองฯ ไทยแกร่ง อันดับ 12 ของโลก ที่ 2.4แสนล้านดอลลาร์

“รัฐบาล” ยัน เงินสำรองฯ ไทยแกร่ง อันดับ 12 ของโลก ที่ 2.4แสนล้านดอลลาร์

“โฆษกรัฐบาล” เผย เงินสำรองระหว่างประเทศของไทยอยู่ในระดับสูง มากเป็นอันดับที่ 12 ของโลก แม้ลดลงจาก 2.78 แสนล้านดอลลาร์ มาอยู่ที่ 2.4 แสนล้านดอลลาร์ เป็นผลจากค่าเงินแข็ง ย้ำ ไม่พบสัญญาณเคลื่อนย้ายเงินทุนผิดปกติ มั่นใจรับมือสถานการณ์ได้

นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึงกรณีมูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศของประเทศปรับลดลงเป็นผลมาจากการแข็งค่าอย่างต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ พร้อมเน้นย้ำไม่พบสัญญาณการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่ผิดปกติ และระดับเงินสำรองฯ เมื่อเทียบต่อ GDP ยังสูงกว่าหลายประเทศ

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่า มูลค่าเงินสำรองระหว่างประเทศ ที่ปรับลดลงจาก 2.78 แสนล้านดอลลาร์ในช่วงต้นปี มาอยู่ที่ระดับ 2.4 แสนล้านดอลลาร์ เป็นผลมาจากการตีมูลค่าเงินสำรองฯ ที่อยู่ในสินทรัพย์หลายสกุลเงินให้เป็นสกุลดอลลาร์ โดยเงินสกุลดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น ทำให้สินทรัพย์สกุลอื่น ๆ เมื่อตีมูลค่าเป็นรูปดอลลาร์มีมูลค่าลดลง ซึ่งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินผันผวนสูงขึ้นจากตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่อยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง และเป็นเหตุการณ์ปกติในช่วงที่ค่าเงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวนสูง มูลค่าเงินสำรองฯ ก็จะผันผวนสูงขึ้นตามไปด้วย

นอกจากนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยยังยืนยันว่า ไม่พบสัญญาณการเคลื่อนย้ายเงินทุนที่ผิดปกติและประเทศไทยยังมีฐานะทางการเงินที่ดี จากระดับเงินสำรองฯ ที่อยู่ประมาณ 2.4 แสนล้านดอลลาร์ ทำให้ไทยเป็นประเทศที่มีเงินสำรองฯ มากที่สุดเป็นอันดับที่ 12 ของโลก และเมื่อเทียบเงินสำรองฯ ต่อ GDP จะคิดเป็น 48% ของ GDP ซึ่งสูงเป็นอันดับที่ 6 ของโลก รวมถึงยังสูงกว่าหนี้ต่างประเทศระยะสั้นของไทยถึงเกือบ 3 เท่า

“สถานการณ์เศรษฐกิจที่ผันผวน ปัญหาเงินเฟ้อสูง ราคาน้ำมันแพง และราคาสินค้าปรับสูงขึ้นรวมถึงตลาดการเงินที่ผันผวน ได้สร้างผลกระทบต่อค่าเงิน และเงินสำรองระหว่างประเทศ เป็นผลกระทบที่เกิดขึ้นกับหลาย ๆ ประเทศในโลก อย่างไรก็ตาม ไทยยังมีเงินสำรองระหว่างประเทศที่เพียงพอจะรับมือสถานการณ์ในปัจจุบัน ตลอดจน ตลาดการเงินของไทยยังคงมีความแข็งแกร่ง มีเสถียรภาพ รวมทั้งไทยยังมีศักยภาพ เป็นที่น่าสนใจ และสร้างความเชื่อมั่นให้กับต่างประเทศและนักลงทุนได้” นายอนุชา กล่าว