"ททท." อัดแคมเปญโค้งท้ายกระตุ้นไฮซีซั่น ดึงยุโรปหนีหนาว ฟื้นรายได้ปีนี้ 50%

"ททท." อัดแคมเปญโค้งท้ายกระตุ้นไฮซีซั่น ดึงยุโรปหนีหนาว ฟื้นรายได้ปีนี้ 50%

ช่วงโค้งท้ายปี 2565 การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เตรียมอัดแคมเปญกระตุ้นการเดินทางท่องเที่ยวทั้งตลาดใน และต่างประเทศรับไฮซีซั่น เพื่อผลักดันเป้าหมายรายได้รวมการท่องเที่ยวปี 2565 ให้ฟื้นตัว 50% เมื่อเทียบกับรายได้รวม 3 ล้านล้านบาท เมื่อปี 2562 ก่อนโควิด-19 ระบาด

สร้างแรงส่งที่ดีต่อเนื่องไปจนถึงปี 2566

ยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) กล่าวว่า สำหรับ “ตลาดต่างประเทศ” ททท.เตรียมจัดแคมเปญ “Always Warm” มุ่งทำการตลาดดึงนักท่องเที่ยวระยะไกลจากยุโรป ให้เดินทาง “หนีหนาว” มาเที่ยวไทยช่วงไฮซีซั่นปลายปีนี้ หลังประสบปัญหาด้านราคาก๊าซยุโรปพุ่งสูง

“ประเทศไทยพร้อมมอบความอบอุ่นให้แก่นักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางหนีหนาว ด้วยการต้อนรับการกลับมาที่อบอุ่น บริการฮอสพิทาลิตี้อันอบอุ่น มีสินค้าท่องเที่ยวตอบโจทย์ โดยเฉพาะ Sea Sand Sun และในสถานการณ์ราคาก๊าซยุโรปพุ่งสูงแบบนี้ เพราะฉะนั้นปิดบ้านมาเที่ยวไทยไม่ดีกว่าหรือ”

ส่วน “ตลาดในประเทศ” ททท.ร่วมกับ “สมาคมสายการบินประเทศไทย” จัดทำแคมเปญ “ลดทั่วฟ้า บินทั่วไทย” มีสายการบิน 6 รายเข้าร่วม ได้แก่ บางกอกแอร์เวย์ส ไทยแอร์เอเชีย นกแอร์ ไทยไลอ้อนแอร์ ไทยเวียตเจ็ทแอร์ และไทยสมายล์แอร์เวย์ส มอบส่วนลดพิเศษให้แก่ผู้โดยสารสายการบิน เพื่อเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยวภายในประเทศทั่วทุกภูมิภาค เตรียมเปิดตัวโครงการดังกล่าววันที่ 19 ก.ย.นี้ ถือเป็นหนึ่งในโครงการที่เข้ามารับไม้ต่อจากโครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน เฟส 4 ส่วนขยาย” ซึ่งมีประชาชนใช้สิทธิส่วนลดโรงแรมที่พัก 40% ครบทั้ง 1.5 ล้านสิทธิแล้ว กำหนดให้เดินทางภายในวันที่ 31 ต.ค.65 เป็นวันสุดท้าย

“แนวโน้มตลาดคนไทยเที่ยวในประเทศปีนี้ ททท.มั่นใจว่าจะมีไม่น้อยกว่า 120 ล้านคน-ครั้ง แต่ต้องผลักดันให้ถึงเป้าหมาย 160 ล้านคน-ครั้งตามที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาตั้งไว้ ด้วยการเปิดตัวโครงการใหม่ๆ มาช่วยกระตุ้นตลาดช่วงไฮซีซั่นปลายปีนี้”

ด้านตลาดนักท่องเที่ยวต่างชาติ ททท.มั่นใจว่าจะไปถึงเป้าหมาย 10 ล้านคน หลังจากสถิติตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 9 ก.ย.ที่ผ่านมา มีจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติสะสมทะลุ 5 ล้านคนแล้ว เดินทางเข้าไทยเฉลี่ย 3-3.5 หมื่นคนต่อวัน คิดเป็นการฟื้นตัว 30% เมื่อเทียบกับปี 2562 เฉพาะเดือนก.ย. คาดมีจำนวน 1 ล้านคน และในไตรมาส 4 ตั้งแต่เดือนต.ค.- ธ.ค. คาดมีจำนวน 1.5 ล้านคนต่อเดือน

“ความท้าทายของตลาดต่างประเทศ ไม่ค่อยมีเรื่องน่ากังวลนัก เพราะปัจจุบันประเทศไทยสามารถควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 ได้เป็นอย่างดี และนักท่องเที่ยวต่างชาติกล้าออกเดินทางมากขึ้น”

ประกอบกับรัฐบาลไทยได้ออกมาตรการอำนวยความสะดวกแก่นักท่องเที่ยวต่างชาติเพิ่มเติม หลังประกาศ “เปิดประเทศเต็มรูปแบบ” ไปแล้ว โดยเฉพาะเรื่องการขยายระยะเวลาพำนักในไทย สำหรับผู้ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตรา (วีซ่า) ในการเข้าประเทศ ทั้งที่ไทยให้แต่ฝ่ายเดียว และที่มีความตกลงระหว่างกัน จากไม่เกิน 30 วัน เป็นไม่เกิน 45 วัน รวมถึงผู้ได้รับวีซ่าหน้าด่าน (Visa on Arrival: VoA) จากไม่เกิน 15 วัน เป็นไม่เกิน 30 วัน มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2565 ถึง 31 มีนาคม 2566 ครอบคลุมช่วงไฮซีซั่น

อย่างไรก็ตาม ยังคงจับตาความเคลื่อนไหวของตลาด “จีนเที่ยวไทย” ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 1 เมื่อปี 2562 ด้วยจำนวน 11 ล้านคน สร้างรายได้กว่า 5.3 แสนล้านบาท โดยคาดว่าจะเห็น “ข่าวดี” จากตลาดจีน หลังช่วงกลางเดือน ต.ค.นี้ซึ่งจะมีการประชุมใหญ่ของพรรคคอมมิวนิสต์ และหวังว่าตลาดจีนจะกลับมาเที่ยวไทยเร็วก่อนถึงช่วง “โกลเด้นวีค” วันหยุดยาว “เทศกาลตรุษจีน” ช่วงต้นปี 2566

ส่วนความท้าทายของตลาดในประเทศ ยังมีความกังวลเรื่อง “ราคาน้ำมัน” ที่ยังค่อนข้างสูง กระทบต่อกำลังซื้อด้านท่องเที่ยว ขณะเดียวกันประเทศอื่นๆ ก็ทยอย “เปิดประเทศ” เพื่อดึงนักท่องเที่ยวไทยกลุ่มใช้จ่ายคุณภาพออกไปเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น เช่น ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นจุดหมายยอดนิยมอันดับต้นๆ ของนักท่องเที่ยวไทย ได้มีการผ่อนคลายมาตรการเดินทางมากขึ้น ทั้งยังมีปัจจัยหนุนเรื่อง “ค่าเงิน” คนไทยแห่แลกเงินเยนตุนไว้หลังอ่อนค่าหนักในรอบ 24 ปี ทำให้ ททท.จำเป็นต้องออกแคมเปญหรือโครงการต่างๆ เพิ่ม เพื่อตรึงคนไทยเที่ยวในประเทศ!

ทั้งนี้ ททท.คาดว่าภาคท่องเที่ยวไทยจะฟื้นตัวต่อเนื่องตั้งเเต่ไตรมาส 4 ปีนี้จนถึงปี 2566 โดยวางเป้าหมายรายได้รวมการท่องเที่ยวปี 2566 ฟื้นตัวกลับมา 80% ของปี 2562 โดยคาดว่าจะมีรายได้จากการท่องเที่ยวรวมทั้งสิ้น 1.73 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากตลาดต่างประเทศ 9.7 แสนล้านบาท และรายได้จากตลาดในประเทศ 7.6 แสนล้านบาท โดยคาดการณ์จากสถานการณ์ท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวอย่างเป็นไปได้ ขณะที่ภายใต้สถานการณ์ท่องเที่ยวที่เอื้ออำนวยในทุกด้าน (Best Case Scenario) คาดว่าจะมีรายได้รวม 2.38 ล้านล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากตลาดต่างประเทศ 1.5 ล้านล้านบาท และตลาดในประเทศ 8.8 แสนล้านบาท

ศุภจี สุธรรมพันธุ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า คาดแนวโน้มไตรมาส 4 นี้ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าไทยถึงระดับ 5 หมื่นคนต่อวัน ผลักดันให้จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติถึงเป้าหมาย 10 ล้านคนในสิ้นปีนี้ ซึ่งคิดเป็นการฟื้นตัวราว 1 ใน 4 ของจำนวนเมื่อปี 2562 ซึ่งมีชาวต่างชาติเที่ยวไทย 39.8 ล้านคน

“โจทย์สำคัญ” คือ การทำให้นักท่องเที่ยวพำนักนานขึ้น ใช้จ่ายมากขึ้น! ผู้ประกอบการโรงแรมและท่องเที่ยวจึงต้องเกาะเทรนด์สำคัญ 4 เรื่องหลักด้วยกัน ได้แก่ 1.การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ จัดกิจกรรมรองรับความสนใจดูแลสุขภาพ เช่น โยคะริมทะเล และสินค้าจากออร์แกนิกฟาร์ม 2.การท่องเที่ยวแบบสัมผัสประสบการณ์ท้องถิ่น เพราะตอนนี้นักท่องเที่ยวต้องการประสบการณ์แบบ Unseen” หากเฟ้นหาจุดขายนี้เจอ จะช่วยเสริมเสน่ห์แก่บริการ 3.การท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และ 4.การท่องเที่ยวแบบเที่ยวไปด้วยทำงานไปด้วย หรือ Workation” ล่าสุดทาง CNBC ระบุว่า “กรุงเทพฯ” เป็นเมืองที่คนอยากมา Workation มากที่สุดอันดับ 1 ของโลก

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเทรนด์ที่ช่วยผู้ประกอบการฟื้นฟูรายได้ ดึงเม็ดเงินจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ!

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์