“เพื่อไทย” จี้ “ประวิตร” กวดขัน เข้มข้น เสพกัญชาในเด็ก

“เพื่อไทย” จี้ “ประวิตร” กวดขัน เข้มข้น เสพกัญชาในเด็ก

"เพื่อไทย" แนะ "ประวิตร" สั่งการ กวดขัน เข้มข้น ปัญหาการเสพกัญชาในเด็ก ยังไม่มีกฎหมายควบคุม ปกป้องอนาคตของชาติ 

ดร.อรุณี กาสยานนท์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า การปลดล็อกกัญชา-กัญชง ออกจากยาเสพติดให้โทษผิดกฎหมาย เมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2565 โดยยังไม่มีกฎหมายควบคุม กำลังส่งผลต่อเด็กและเยาวชนไทย จากหลายเหตุการณ์ในสังคมที่เกิดขึ้นนำพาให้เด็กและเยาวชนได้รับกัญชาโดยไม่ตั้งใจ ด้วยความบังเอิญ หรือความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ความคึกคะนองของเด็กที่เริ่มต้นแค่อยากลองจนกลายเป็นเสพติด ส่งผลกระทบต่อสมองและพฤติกรรมของเด็ก

ล่าสุด เมื่อวันที่ 25 ส.ค.65 ที่มีเด็กนักเรียนอายุ 16 ปี ใน จ.เชียงใหม่ พกอาวุธมีดพับ วิ่งหนีผู้ปกครองออกจากโรงเรียนเพราะสูบกัญชากับเพื่อนๆ จนติดงอมแงม ต้องพักการเรียน เข้ารับการบำบัด ถ้าไม่ได้เสพจะมีอาการหงุดหงิด และอาละวาดทำลายข้าวของทั้งหมดเป็นเพียงกรณีที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ที่มีการปลดล็อกกัญชา 

หากปล่อยให้สถานการณ์เลวร้ายลงโดยไร้การควบคุมและปล่อยให้เป็นหน้าที่ของศูนย์บำบัดยาเสพติด  อีกไม่นานมีหวังศูนย์บำบัดยาเสพติด ที่มีไว้เพื่อบำบัดเด็กและเยาวชนอาจไม่เพียงพอ เหมือนอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับเรือนจำที่มีไว้เพื่อคุมขังนักโทษยาเสพติดเป็นแน่

 

ดร.อรุณี กล่าวอีกว่า การป้องกันทำได้ ถ้าบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด แต่การเยียวยารักษานั้นยากกว่าการจำกุม  หากยังนิ่งเฉยปล่อยปละละเลยให้เกิดเหตุการณ์เมายารุนแรงมากขึ้น  สังคมไทยคงกลับไปสู่ยุคมืดดำ ตรอกซอกซอยอาจจะเกิดเหตุอาชญากรรมที่เกิดจากผลของการเสพยาเกินขนาด  และในท้ายที่สุดประเทศไทยจะไม่ใช่จุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวอีกต่อไป  

“วันนี้ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ แม้อยู่ในตำแหน่งนายกรัฐมนตรีรักษาการ แต่มีอำนาจเต็มมือ ควรต้องตระหนัก ไม่ใช่สักแต่ ไม่รู้ ไม่รู้  แต่ควรรู้สักเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องผลกระทบกัญชาที่มีต่อเด็กและเยาวชน  ต้องสั่งการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ช่วยกันตรวจตรา กวดขัน จะได้มีผลงานที่ใช้หาเสียงในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ  อย่าให้ประชาชนตราหน้าว่า รัฐบาลไม่เคยปกป้อง ดูแล เด็กและเยาวชน ไม่สมควรที่จะเป็นรัฐบาล เพราะเด็กคืออนาคตของชาติ ที่ผ่านมาภายใต้การบริหารชุดนี้ที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า ได้ทำให้เด็กหลุดออกจากระบบการศึกษาไปแล้วมากมาย สุดท้ายก็โยนบาปไปที่โควิด-19 เพียงอย่างเดียว”   ดร.อรุณี กล่าว